ผ่า 4 ประเด็น แมนยูฯ โดน เซาแธมป์ตัน ไล่เจ๊าสุดช็อก

“ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำได้เพียงเปิดบ้านโดน เซาแธมป์ตัน ไล่ตีเสมออย่างน่าเจ็บใจ และนี่คือ 4 ประเด็นสำคัญที่ได้เห็นจากเกมนี้

1.รูปเกม

เกมนี้ ยูไนเต็ด ควรจะขึ้นนำก่อนด้วยซ้ำจากจังหวะหลุดเดี่ยวของ มาร์เชียล แต่ก็ยิงไปติดเซฟ จากนั้น ป็อกบา มาทำเสียบอลแถวหน้าเขตโทษก่อนจะถูก สจวร์ต อาร์มสตรอง ซัดให้นักบุญขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 12 แต่เจ้าถิ่นก็ทวงคืนได้ไวจากการยิงของ อองโตนี มาร์เชียล ในนาทีที่ 20 และถัดมา 3 นาทียูไนเต็ดแซงขึ้นนำ 2-1 จากมาร์คัส แรชฟอร์ด จากนั้นครึ่งหลังเกมเปิดแลกกันสนุกเลย มีโอกาสทั้งคู่ ช่วง 20 นาทีสุดท้าย ยูไนเต็ดเริ่มเจอปัญหาเมื่อ ลุค ชอว์ ข้อเท้าขวาพลิกต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไป จากนั้นแมนยูฯ น่าทิ้งห่างจากจังหวะที่ มาร์เชียล โซโล่เดี่ยวจากแดนตัวเองไปยิงข้ามคานน่าเสียดาย แต่นักบุญก็เกือบตีเสมอจากจังหวะซัดของ เรดมอนด์ แต่ เดเคอา พุ่งปัดไปได้ จากนั้นนาทีที่ 90+1 แมนยูเจอปัยหาอีกแล้วเมื่อ แบรนดอน วิลเลียมส์ ที่ลงมาแทน ชอว์ ไปปะทะกับแข้งทีมเยือนจนหัวแตกเล่นต่อไม่ไหว ทำให้เจ้าถิ่นต้องเล่น 10 คน ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนเลยก็ว่าเพราะเหลือตัวผู้เล่นน้อยกว่าและมาเสียลูกเตะมุม ก่อนที่ เจมส์ วอร์ด เพราส์ จะเปิดให้ ไมเคิล โอบาเฟมี โขกพาเซาแธมป์ตันตีเสมอ 2-2 ในช่วงทดเจ็บ นาทีที่ 90+6 ได้แต้มกลับไปจากโรงละครแห่งความฝันหน้าตาเฉย

2.แมนยูฯ ต้องเรียนรู้ที่จะปิดเกมให้ได้

เกมนี้เหมือนกับเกมที่แมนยูฯ พบบอร์นมัธ คือยูไนเต็ดทำได้ไม่ดีพอในช่วงต้นเกมจนเสียประตูให้คู่แข่งก่อน อย่างไรก็ตามพวกเขายังรวมพลังฮึดแซงกลับมาขึ้นนำ2-1 ได้ก่อนจบครึ่งแรก แต่ข้อผิดพลาดของพวกเขาคือทำประตูที่ 3 ไม่ได้ หรือปิดเกมไม่ได้นันเอง และการนำคู่แข่งที่ฟอร์มกำลังดีอย่างเซาแธมป์ตันแค่ลูกเดียวย่อมวางใจไม่ได้ และสุดท้ายยูไนเต็ดถูกลงโทษในที่สุด แม้จะอ้างเหตุผลได้ว่าพวกเขาโชคร้ายที่ต้องมาเหลือ 10 คนท้ายเกม เพราะ แบรนดอน วิลเลียมส์ เล่นต่อไม่ไหว แต่ถ้าพวกเขาปิดเกมให้ได้ ประเด็นนี้ก็คงจะถูกตัดไป

3.เซาแธมป์ตันเพรสซิ่งสูง-โชว์สปิริตนักสู้

เกมนี้ ราล์ฟ ฮาเซนฮุทเทิลส์ ผู้จัดการทีมเซาแธมป์ตัน วางแท็กติกมาได้ดีมากๆ พวกเขาไล่บีบพื้นที่สูง มีนักเตะถึง 6 คนที่ไล่บี้อยู่ในแดนของยูไนเต็ด ทำให้เจ้าถิ่นขึ้นเกมได้อย่างยากลำบาก แถมยังมีอาการลนลานอย่างเช่นจังหวะที่ พอล ป็อกบา ทำเสียบบอลในแดนกลางจนโดนนักบุญฉกไปยิง ที่นี้พอยูไนเต็ดขึ้นเกมจากแดนหลังไม่ได้มันก็เป็นการลดบทบาทของ บรูโน เฟอร์นันเดส ไปได้เยอะเลย จะเห็นได้ว่าบรูโนมีส่วนร่วมกับเกมน้อยกว่าแมตช์ที่ผ่านๆ มา แม้จะได้มา 1 แอสซิสต์ก็ตาม นอกจากนี้อีกเรื่องนึงที่ต้องชมเซาแธมป์ตันก็คือพวกเขามีหัวจิตหัวใจของนักสู้อย่างแท้จริง แม้ว่าทีมจะไม่ได้มีลุ้นอะไรแล้ว แต่ก็เล่นกันอย่างเต็มที่จนวินาทีสุดท้ายของช่วงทดเจ็บเพื่อแฟนบอลของพวกเขาที่ชมเกมอยู่ทางบ้าน และรางวัลของพวกเขาก็คือ 1 คะแนนนั่นเอง

4.แรชฟอร์ด-มาร์เชียล ฟอร์มเด่น-กรีนวูดเงียบกริบ

นัดนี้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ อองโตนี มารืเชียล แนวรุกของปิศาจแดงโชวืฟอร์มได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะการกระชากบอลเข้าหาคู่แข่งซึ่งได้ดีทั้งคู่ และเกมนี้ก็สามารถทำประตูได้ทั้งสองคน โดยหนึ่งในนั้นมาร์เชียลเป็นคนจ่ายบอลให้ แรชฟอร์ด ทำประตูด้วย อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทั้งสองคนต้องพัฒนาต่อไปก็คือความเฉียบคมในจังหวะสุดท้าย เพราะมีโอกาสกันหลายครั้งมากในเกมนี้และน่าจะทำได้มากกว่าคนละหนึ่งประตู ส่วน เมสัน กรีนวูด นัดนี้แทบหายไปจากเกม เพราะโดนคู่แข้งประกบติดและเข้าบอลค่อนข้างหนักหน่วง ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะกระชากลากเลื้อยหรือหาจังหวะส่องประตูอย่างที่เคยทำได้ แต่ถือเป็นเรื่องดีที่เจ้าตัวจะได้เรียนรู้เกมที่มีความอึดอัดแบบนี้เพื่อจะได้นำไปปรับปรุงพัฒนาฝีเท้าตัวเองต่อไป

ข่าวฟุตบอล

ผ่า 4 ประเด็น แมนยูฯ โดน เซาแธมป์ตัน ไล่เจ๊าสุดช็อก

“บาเยิร์น” ฮึดเฉือน “กลัดบัค” 2-1 จ่อแชมป์บุนเดสลีกา

“เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก เปิดบ้านเอาชนะ โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค 2-1 โอกาสคว้าแชมป์บุนเดสลีกา เยอรมนี สดใสสุดๆ

การแข่งขันฟุตบอลบุนเดสลีกา เยอรมนี ฤดูกาล 2019-20 ประจำวันเสาร์ที่ 13 มิ.ย. 63 คู่ที่น่าสนใจ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก จ่าฝูงของตาราง เปิดสนามอัลลิอันซ์ อารีนา รับการมาเยือนของ “สิงห์หนุ่ม” โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค อันดับ 4 ของตาราง

เปิดฉากครึ่งแรก นาทีที่ 16 กลัดบัคเกือบขึ้นนำ จากจังหวะที่ บรีล เอ็มโบโล จ่ายบอลทะลุแนวรับให้ โยนาส ฮอฟมันน์ หลุดเข้าไปยิงผ่าน มานูเอล นอยเออร์ ตุงตาข่าย ผู้ตัดสินเช็กวีเออาร์และมองว่าล้ำหน้าไปก่อนแล้ว

ถัดมา 2 นาที เป็นโอกาสของบาเยิร์น เมื่อ แซร์จ กนาบรี ได้โหม่งในเขตโทษ แต่ ยานน์ ซอมเมอร์ จอมหนึบกลัดบัค เซฟไว้ได้ และในนาทีที่ 22 บาเยิร์นได้ลุ้นอีกครั้ง เมื่อกองหลังกลัดบัคสกัดบอลมาเข้าทาง ลูคัส เอร์นันเดซ ยิงจ่อๆ ซอมเมอร์ เซฟออกไปได้

จากนั้นนาทีที่ 25 เกือบได้เฮ จากจังหวะที่ ลาร์ส สตินเดิล เปิดบอลจากฝั่งขวาเข้าเขตโทษ บรีล เอ็มโบโล โหม่งจังหวะแรกติดเซฟ นอยเออร์ ซ้ำจ่อๆ อีกทีก็หลุดกรอบออกไปอย่างเหลือเชื่อ

ถึงนาทีที่ 26 บาเยิร์น ได้ประตูขึ้นนำ 1-0 จากความผิดพลาดของ ยานน์ ซอมเมอร์ ที่จ่ายบอลพลาดมาเข้าทาง โจชัว เซิร์กซี ยิงเข้าประตูไปเลย

แต่ทว่านาทีที่ 37 กลัดบัค ตามตีเสมอเป็น 1-1 จากจังหวะที่ แพตทริก แฮร์มันน์ เปิดบอลเรียดจากฝั่งขวาเข้าเขตโทษ แบงฌาแมง ปาวาร์ สกัดบอลผิดเหลี่ยมเข้าประตูตัวเอง

จบครึ่งแรก บาเยิร์น มิวนิก ยังเสมอ โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค อยู่ 1-1


กลับมาเล่นต่อครึ่งหลัง นาทีที่ 48 เป็นโอกาสของกลัดบัค เมื่อ สเตฟาน ไลเนอร์ ตั้งป้อมยิงไกล บอลข้ามคานออกไป

จากนั้นนาทีที่ 54 กลัดบัคได้ลุ้นอีกแล้ว บรีล เอ็มโบโล จ่ายบอลเข้าเขตโทษฝั่งขวาให้ แพตทริก แฮร์มันน์ ซัดด้วยขวา นอยเออร์ เซฟออกไปได้

ถึงนาทีที่ 86 บาเยิร์น ขึ้นนำ 2-1 จากจังหวะที่ แบงฌาแมง ปาวาร์ เปิดบอลเรียดจากฝั่งขวาเข้ากลาง เลออน โกเรตซ์กา สอดมายิงเข้าไปตุงตาข่าย

ช่วงเวลาที่เหลือทั้งสองทีมทำอะไรกันเพิ่มไม่ได้ จบเกม บาเยิร์น มิวนิก ชนะ โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค 2-1 บาเยิร์น เก็บเพิ่มเป็น 73 คะแนน รั้งจ่าฝูงต่อไป มีแต้มเหนือ ดอร์ทมุนด์ อยู่ 7 คะแนน ส่วน กลัดบัค มี 56 คะแนนเท่าเดิม รั้งอันดับ 4 ต่อไป

รายชื่อ 11 ตัวจริงทั้ง 2 ทีม

บาเยิร์น มิวนิก: มานูเอล นอยเออร์ (GK), แบงฌาแมง ปาวาร์, เยโรม บัวเต็ง, ดาวิด อลาบา, ลูคัส เอร์นานเดซ, โจชัว คิมมิช, มิคาเอล คุยซานเซ, แซร์จ กนาบรี, เลออน โกเรตซ์กา, อิวาน เปริซิช และ โจชัว เซิร์กซี

โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค: ยานน์ ซอมเมอร์ (GK), นิโก เอลเวดี, รามี เบนเซไบนี, มาธิอัส กินเทอร์, สเตฟาน ไลเนอร์, ฟลอเรียน นอยฮุส, โจนาส ฮอฟมันน์, คริสตอฟห์ คราเมอร์, มาร์คัส ตูราม, ลาร์ส สตินเดิล และ แพตทริก แฮร์มันน์.

สำรวจสถานการณ์ “บิ๊ก 6 กับ 6 ประเด็นสำคัญ” หลังพรีเมียร์ลีก รีสตาร์ท

สำรวจสถานการณ์ "บิ๊ก 6 กับ 6 ประเด็นสำคัญ" หลังพรีเมียร์ลีก รีสตาร์ท

ฟุตบอล พรีเมียร์ลีก กลับมาลงสนามกันอย่างทางการอีกครั้ง หลังจากที่ต้องหลบให้กับมหันตภัยร้ายของชาวโลกในศตวรรษที่ 20 อย่างเชื้อโควิด-19
ซึ่งประเดิมด้วยคู่ตกค้างอย่าง แอสตัน วิลลา ที่เปิดบ้านเสมอกับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด แบบไร้สกอร์ ตามด้วย ‘แชมป์เก่า’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยังไว้ลายเปิด เอติฮัด ถล่ม อาร์เซนอล ไป 3-0 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

นอกจากผลการแข่งขันแล้วสิ่งที่หลายคนสนใจก็คือสถานการณ์ของบรรดา “บิ๊กซิก”หลังการกลับมา ‘รีสตาร์ท’ อีกครั้งว่าแต่ละทีมนั้นมีประเด็นอะไรที่น่าจับตามองบ้างและอีก 9 นัดที่เหลือพวกเขามีเป้าหมายกันอย่างไร

และนี่คือ 6 ประเด็นของทีมใหญ่หลัง พรีเมียร์ลีก รีสตาร์ท

Takumi Minamino, Curtis Jones, Sadio Mane, Billy Gilmour, Mason Mount, César Azpilicueta
Takumi Minamino, Curtis Jones, Sadio Mane, Billy Gilmour, Mason Mount, César Azpilicuetaลิเวอร์พูล : ถึงเวลาทดลองทีม

ลิเวอร์พูล เข้าใกล้แชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกของพวกเขาในรอบ 30 ปีเข้าไปทุกขณะ ซึ่งเหลืออีกเพียง 6 คะแนนเท่านั้น โดยเกมแรกที่จะลงสนามคือการเดินข้ามสวนสาธารณะสแตนลีย์ ปาร์ค ไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ที่ กูดิสัน ปาร์ค

คาดกันว่าแม้ผลการแข่งขันกับคู่อริร่วมเมืองจะไม่ได้ออกมาอย่างที่คิด แต่การคว้าแชมป์ของพวกเขาก็คงไม่พังทลายจากการนำโด่งถึง 22 คะแนน ดังนั้นคำถามที่ตามมาก็คือ สิ่งที่จะต้องทำต่อไปคืออะไร

เอฟเอคัพ และ แชมเปี้ยนส์ลีก ก็ตกรอบไปหมดแล้วไม่เหลืออะไรให้ลุ้นกันอีกต่อไป สิ่งที่คนเป็นโค้ชจะทำได้ในช่วงที่เหลือก็คือการ ‘ทดลองทีม’ เพื่อตรียมตัวป้องกันแชมป์ในซีซันหน้า

นักเตะที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหรือพวกที่กำลังเรียกหาความฟิตหลังจากได้รับบาดเจ็บจะได้รับโอกาสในการลงสนามเพื่อให้ เยอร์เก้น คล็อปป์ ดูตัว ดูฝีเท้าว่าซีซันหน้าเขาจะต้องทำอะไรกับขุนพลชุดนี้บ้าง โดยมีทั้ง นาบี เกอิต้า มิดฟิลด์ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บจะได้โอกาสลงสนามเคาะสนิมเรียกความฟิต ทาคุมิ มินามิโนะ ตัวรุกที่เข้ามาตอนกลางซีซันก็จะได้โอกาสในการลงเล่นเพื่อปรับตัวกับฟุตบอลอังกฤษและ เซอร์ดาน ชากีรี ที่มีข่าวจะย้ายทีมนั่นก็ยังมีเวลาพิสูจน์ตัวเองเช่นกัน

ในรายของพวกดาวรุ่งก็เชื่อว่าอยากให้พี่ ๆ รีบคว้าแชมป์ให้มันจบ ๆ เกมที่เหลือพวกเขาจะได้มีโอกาสบ้าง แต่ที่คาดว่าจะได้รับโอกาสมากกว่าใครเพื่อนน่าจะเป็น เคอร์ติส โจนส์ ที่ คล็อปป์ วางเอาไว้ให้เป็นตัวแทนของ อดัม ลัลลานา ที่จะหมดสัญญาหลังจบฤดูกาลนี้

Dani Carvajal, Gabriel Jesus
Dani Carvajal, Gabriel Jesusแมนเชสเตอร์ ซิตี้ : คว้าแชมป์ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ส่งท้าย?

ในทางทฤษฎีนั้นก็ยังถือว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ยังพอมีลุ้นป้องกันแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของตัวเองอยู่บ้าง แค่รอให้ ลิเวอร์พูล พลาดท่าพ่าย 8 จาก 9 เกมเท่านั้น!

เอาเถอะ แม้หลายคนจะเคยบอกว่าบนโลกใบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่เชื่อว่า เยอร์เก้น คล็อปป์ คงไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ ๆ ดังนั้นการคว้ารักษาพื้นที่ ‘รองแชมป์’ จึงถือเป็นภารกิจสำคัญในการลงเล่นเกมในประเทศของขุนพล ซิตี้

เมื่อลีกกำลังอยู่ตัวรายการอย่าง ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ก็กลายเป็นเป้าหมายหลักขึ้นมาทันที แม้จะมีถ้วย เอฟเอคัพ อีกใบที่ต้องลงป้องกันแชมป์ แต่ถ้าลองไปถามแฟนบอล เรือใบสีฟ้า พวกเขาก็จะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ขอแชมป์ยุโรปแล้วกัน’

พร้อมกับที่มีข่าวลือว่าทาง ยูฟา อาจจะเปลี่ยนแปลงระบบการแข่งขันฟุตบอลถ้วยยุโรปใหม่ โดยให้เป็นการเล่นแบบ ‘มินิทัวร์นาเม้น’ ซึ่งเป็นการเตะแบบนัดเดียวตั้งแต่รอบ 8 ทีมสุดท้ายที่สนามเป็นกลาง โดยจะจัดกันที่เมือง ลิสบอน โปรตุเกส นั่นอาจจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการคว้าแชมป์มากยิ่งขึ้นก็เป็นได้

สถานภาพปัจจุบันของ ซิตี้ ในตอนนี้พวกเขาลงเล่นเลกแรกในรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปแล้วโดยเอาชนะ เรอัล มาดริด ไป 2-1 ซึ่งหากดูจากฟอร์มการเล่นและความมุ่งมั่นลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ถือว่ามีสิทธิที่จะเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศอย่างแน่นอนและด้วยการที่พวกเขาอาจไม่รอดมาเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าเนื่องจากปัญหาการปลอมแปลงบัญชี บอลยุโรปในปีนี้คงป็นเหมือน ‘เฮือกสุดท้าย’ ที่ต้องฝากชื่อไว้ในฐานะแชมป์ด้วย

Frank Lampard
Frank Lampardเชลซี : แฟรงค์ แลมพาร์ด กับการคว้าพื้นที่ท็อปโฟร์

ในช่วงหยดพักการแข่งขันไปกว่า 3 เดือน เชลซี กลายเป็นทีมที่มีความเคลื่อนไหวในตลาดซื้อขายมากที่สุดในบรรดาท็อปซิก จากการคว้าตัว ฮาคิม ซิเย็ค ล่วงหน้ามาจาก อาแจ็กซ์ และข่าวล่าสุดเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมากับการเตรียมตัวกระชาก ติโม แวร์เนอร์ ตัดหน้า ลิเวอร์พูล

อย่างไรก็ตามท่ามกลางการเซ็นสัญญาอันน่าตื่นเต้นนี้ยังมีคำถามที่น่าสนใจว่า แลมพาร์ด จะพา สิงห์บลู คว้าโควต้าไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าได้หรือไม่

การทำงานของกุนซือหนุ่มในฤดูกาลนี้ได้รับคำชมอย่างมากจากบรรดากูรูและผู้คร่ำหวดในวงการ ด้วยสถานการณ์ที่โดนแบนในตลาดซื้อขาย ทำให้เขาต้องให้โอกาสดาวรุ่งได้ก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดและเป็นกำลังสำคัญของทีม แน่นอนว่าฟอร์มการเล่นอาจจะยังไม่สม่ำเสมอเท่าที่ควร แต่การที่ยังรั้งอันดับ 4 เอาไว้ได้จนถึงช่วงโค้งสุดท้ายทำให้หลายคนมองว่า แลมพาร์ด มีอนาคตที่สดใสบนเส้นทางผู้จัดการทีมรออยู่

กระนั้นก็ดีแม้จะเกาะเกี่ยวพื้นที่สำคัญอย่างเหนียวแน่น แต่จากสถิติเสียประตูมากที่สุดในบรรดา 7 ทีมหัวตาราง นั่นเป็นสัญญาณว่า 9 นัดต่อจากนี้ของพวกเขาต้องรวบรวมสมาธิเพื่อไม่ให้หลุดจากตำแหน่งปัจจุบัน เพราะมิเช่นนั้นการลงทุนล่วงหน้าที่เกิดขึ้นอาจจะกลายเป็น ‘ภาระ’ มหาศาลของทีมในอนาคตได้

Bruno Fernandes
Bruno Fernandesแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ปอล ป็อกบา vs บรูโน แฟร์นันเดส

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำผลงานสุดหรูก่อนปิดลีกหนีโควิดด้วยการไม่แพ้ใคร 11 เกมหลังสุดทำให้พวกเขาขยับขึ้นมารั้งอันดับ 5 ของตารางเป็นที่เรียบร้อย พร้อมอยู่ห่างจาก เชลซี ทีมอันดับ 4 เพียง 3 คะแนนเท่านั้น

การมาของ บรูโน แฟร์นันเดส เมื่อเดือนมกราคมถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทีม เขากลายเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ หลังจากที่ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมในแดนกลาง เป็นตัวขับเคลื่อนเกมรุกของทีมและช่วยจุดประกายความหวังในการกลับไปเล่นในเวทีใหญ่ระดับยุโรปของสาวก ปีศาจแดง อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามคำถามที่สำคัญก็คือ เมื่อ ปอล ป็อกบา กลับมาทั้ง 2 คนจะเล่นด้วยกันได้หรือไม่ เพราะก่อนหน้านั้นมีกระแสข่าวว่ากองกลางทีมชาติฝรั่งเศสเตรียมที่จะย้ายทีมหลังจบฤดูกาล แต่เมื่อ บรูโน ทำผลงานได้ดีกระแสก็เปลี่ยนไปเป็นการอยากเห็นทั้งสองคนจับคู่กันในแดนกลางเพื่อช่วยพาทีมกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้ง

แม้ในเกมอุ่นเครื่องที่ผ่านมาดูท่าว่าจะยังไม่เข้าที่เข้าทางซักเท่าไหร่ เมื่อ ป็อกบา จับคู่กับกองกลางโปรตุกีสกลับพาทีมพ่ายให้กับทีมรองบ่อน แต่นั่นเป็นเพียงครั้งแรกของทั้งคู่ซึ่งยังพอมีเวลาปรับจูนก่อนกลับมาลงสนามในสุดสัปดาห์นี้

นี่คือการบ้านสำคัญของ โอเล กุนนาร์ โซลชา ในการงัดเอาศักยภาพของทั้งคู่ออกมาประสานงานช่วยทีม ซึ่งแฟนบอลเร้ดเดวิลส์ต่างรอคอยที่อยากจะเห็นคู่กองกลางที่มีค่าตัวรวมกันกว่า 150 ล้านปอนด์ขับเคลื่อนสโมสรให้กลับไปอยู่ในจุดที่ควรอีกครั้ง

Heung-Min Son, Harry Kane
Heung-Min Son, Harry Kaneท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ : แฮร์รี เคน และ ซน-เฮือง มิน คัมแบ็ค

สภาพของ ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ นั้นดูไม่ได้เลยในช่วง 3 เดือนก่อน แต่หลังจากที่หยุดแข่งไปทำให้พวกเขาจะได้นักเตะที่เป็นกำลังสำคัญอย่าง แฮร์รี เคน และ ซน-เฮือง มิน กลับมาล่าตาข่ายอีกครั้ง

เดอะสเปเชียลวัน ทำทีมไม่ชนะใครมา 6 เกมหลังสุดก่อนจะหยุดโควิด รวมทั้งการตกรอบฟุตบอลถ้วยอย่าง เอฟเอคัพ และ ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก แบบหมดรูปไม่เหลือลายรองแชมป์เก่า นั่นหมายความว่าหลังจากนี้พวกเขาจะกลับมาลุ้นทำอันดับท็อปโฟร์อย่างเต็มตัว

ฟังดูเหมือนจะเป็นงานง่าย แต่ก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะด้วยช่องว่างที่ห่างจากอันดับ 4 อยู่ 7 คะแนนกับเกมที่เหลืออีก 9 นัดและต้องโคจรพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด คู่แข่งแย่งท็อปโฟร์กันโดยตรงตั้งแต่ 3 นัดแรกจึงทำให้พวกเขาไม่สามารถพลาดได้เลย

ดังนั้นการได้ เคน และ ซน กลับมาจึงถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะมีเครื่องจักรล่าตาข่ายในช่วงสถานการณ์แบบนี้ ด้วยสถิติรวมกันยิงไป 33 ประตูในทุกรายการในซีซันนี้ เชื่อได้ว่า มูรินโญ จะต้องแอบกระหยิ่มยิ้มย่องในใจก่อนเกมเจอกับ ยูไนเต็ด เป็นแน่แท้

FBL-ENG-PR-ARSENAL-MAN UTD
FBL-ENG-PR-ARSENAL-MAN UTDอาร์เซนอล : อาร์เตต้า กับการรั้ง โอบาเมยอง

หลังจากที่ได้ มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาทำหน้าที่หัวเรือใหญ่แทน อูไน เอเมรี เมื่อเดือนธันวาคม ทิศทางของทีมก็ค่อย ๆ ดีขึ้นโดยพวกเขายังไม่แพ้ใครในเกมลีกมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่ จนกระทั่งมาเสียสถิติให้กับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา

แง่บวกของทีมเช่นนี้อาจทำให้ ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง ตัดสินใจอนาคตของตัวเองง่ายขึ้นหลังจากที่ดูอึมครึมมาตั้งแต่ซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่หาก ปืนโต จะดำเนินการอะไรบางอย่างพวกเขาต้องรีบลงมือทำให้เร็วที่สุดเพราะนักเตะเหลือสัญญาเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น

การทำผลงานในอีก 9 เกมที่เหลือให้กระเตื้องขึ้นก็นับเป็นปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่งที่จะโน้มน้าวให้ศูนย์หน้าทีมชาติกาบองยอมต่อสัญญากับทีม มิเช่นนั้นในซัมเมอร์นี้ฝ่ายบริหารของสโมสรจะต้องขึ้นป้ายขายดาวยิงวัย 30 ปีทิ้งเพื่อเอาเงินสดเข้าทีม ซึ่งจะมากจะน้อยก็ต้องว่ากันไป ดีกว่าปล่อยให้ย้ายแบบฟรี ๆ เหมือนในหลาย ๆ เคสที่ผ่านมา

ถามว่ากับนักเตะที่เข้าเลข 3 นั้นจะมีประโยชน์กับทีมได้นานขนาดไหน เอาเป็นว่าตอนนี้ โอบา กำลังรั้งอันดับบนตารางดาวซัลโว พรีเมียร์ลีก โดยซัดไปแล้ว 17 ประตูจาก 29 นัดเป็นรองแค่ เจมี วาร์ดี้ ที่ยิงได้ 19 ประตูคนเดียวเท่านั้น

ดังนั้นสรุปให้ตรงนี้เลยว่าการเก็บ โอบาเมยอง เอาไว้กับทีมต่อไปนั้นจะทำให้ อาร์เซนอล มีลุ้นกลับไปเล่น ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า แม้ว่าความคิดนี้มีแฟนบอลส่วนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยก็ตาม

TOP 5 ทีมที่ได้แต้มมากที่สุดในประวัติศาสตร์ลูกหนังพรีเมียร์ลีก

หลังผ่านไป 31 นัด ลิเวอร์พูล ก็สามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ด้วยการมีถึง 86 คะแนนจากการชนะ 28 นัดเสมอ 2 นัดและแพ้ 1 นัด

จากเรื่องนี้จึงทำให้พวกเขามีโอกาสทำแต้มสูงสุดตลอดกาลถ้าชนะทุกนัดที่เหลือด้วยจำนวน 107 คะแนน แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้นเราจะมาเช็คกันก่อนว่าในประวัติศาตร์ พรีเมียร์ลีก 5 อันดับแรกที่มีคะแนนมากสุดจะมีทีมชุดไหนกันบ้างจากสถิติของ Premierleague.com

Antonio Conte

5.เชลซี 2016/17 – 93 คะแนนAntonio ConteChelsea v Sunderland – Premier League | Shaun Botterill/Getty Images

อันโตนิโอ คอนเต สุดยอดกุนซือตัวท็อปจากอิตาลีได้มาคุม เขลซี หลังฤดูกาลก่อนหน้านั้นทำได้แค่จบในอันดับที่ 10 พรีเมียร์ลีก เท่านั้น

จากทีมและแท็คติกที่ลงตัวและการไม่ต้องไปเล่นในฟุตบอลยุโรปทำให้ สิงห์บลู ฟอร์มปังแบบสุดๆ ด้วยการทำสถิติชนะติดต่อกัน 13 นัด รวมถึงสถิติเสมอน้อยสุดในลีก (3 เกม) และชนะมากที่สุดในตอนนั้น (30 เกม) ด้วย

Chelsea players Petr Cech (L) John Terry

4.เชลซี 2004/05 – 95 คะแนนChelsea players Petr Cech (L) John TerryChelsea players Petr Cech (L) John Terry | ADRIAN DENNIS/Getty Images

ถือเป็นการเปิดตัวอันสุดยอดของ ‘เดอะสเปเชียลวัน’ โชเซ มูรินโญ กับฟุตบอลอังกฤษก่อนจะประสบความสำเร็จอย่างมากมายภายในเวลาต่อมา

ฤดูกาลนี้ สิงห์บลู ได้สุดยอดแข้งมากมายจากการหว่านเงินของ โรมัน อบราโมวิช รวมถึงความเขี้ยวของ มูรินโญ ที่ทำทีมเสียไปเพียง 15 ประตูทั้งฤดูกาลและแพ้ไปเพียง 1 นัดเท่านั้น

Jurgen Klopp

3.ลิเวอร์พูล 2018/19 – 97 คะแนนJurgen KloppLiverpool FC v Arsenal FC – Premier League | Robbie Jay Barratt – AMA/Getty Images

หากเป็นฤดูกาลอื่นด้วยคะแนนมหาศาลขนาดนี้ ลิเวอร์พูล ก็น่าจะสามารถชูถ้วยแชมป์ได้แบบสบายๆ แต่ก็ยังมีทีมที่ดีกว่าพวกเขาเพียงแค่ปลายจมูกมาเป็นก้างขวางคอ

ทีมของ เยอร์เกน คล็อปป์ ทำสถิติได้มากมายในปีนี้เช่นการเอาชนะด้วยจำนวนนัดที่มากถึง 30 นัดและก็ยังแพ้ไปแค่เกมเดียวด้วย

FBL-ENG-PR-MAN CITY-TROPHY-PARADE

2.แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2018/19 – 98 คะแนนFBL-ENG-PR-MAN CITY-TROPHY-PARADEFBL-ENG-PR-MAN CITY-TROPHY-PARADE | PAUL ELLIS/Getty Images

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือผู้ที่ทำให้ ลิเวอร์พูล อกหักจากอันดับที่แล้วและก็เป็นการป้องกันแชมป์ พรีเมียร์ลีก ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้อย่างสุดยอดด้วย

แม้จะโดน ลิเวอร์พูล ทำแต้มทิ้งห่างกว่า 10 แต้มแต่การสามารถเอาชนะติดต่อกัน 14 เกมติดจนถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาลก็ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นแชมป์ด้วยคะแนนที่มากกว่าเพียง 1 คะแนน

Pep Guardiola

1.แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2017/18 – 100 คะแนนPep GuardiolaManchester City v Huddersfield Town – Premier League Matthew Ashton – AMA/Getty Images

หลังตั้งหลักใน พรีเมียร์ลีก ได้ เปีป ก็สามารถเป็นคนแรกที่พาทีมไปถึงการทำทะลุ 100 คะแนนในพรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาล 2017/18

เรือใบสีฟ้า เดินหน้าเอาชนะอย่างต่อเนื่องในปีนั้นชนิดที่เรียกว่าไร้คู่แข่งและอันดับสองในฤดูกาลนั้นอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตามหลังพวกเขาถึง 19 คะแนน

ข่าวกีฬา ข่าวฟุตบอล

ย้อนรอยเส้นขนาน “ลิเวอร์พูล-แมนยูฯ” กับความสำเร็จในรอบ 30 ปี

สิ้นสุดฤดูกาล 1989-90 ซีซั่นสุดท้ายที่ ลิเวอร์พูล ครองแชมป์ฟุตบอลดิวิชั่น 1 หรือลีกสูงสุด อังกฤษ หลังจากนั้นเหล่าสาวกเดอะ ค็อป ต้องทนเห็นคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก้าวขึ้นมาเป็นทีมเบอร์ 1 ของเกาะอังกฤษ

สัญญาณขาลงของ ลิเวอร์พูล เร่ิมเผยออกมาในฤดูกาล 1990-91 ลิเวอร์พูล ถูก อาร์เซนอล ปาดหน้าคว้าแชมป์ในเกมนัดสุดท้ายที่ทั้งคู่พบกัน ส่วน แมนยูฯ จบอันดับ 6 ต่อด้วยปี 1991-92 ฤดูกาลสุดท้ายที่ลีกสูงสุดอังกฤษยังใช้ชื่อ ดิวิชั่น 1 แมนยูฯ เร่ิมยกระดับขึ้นมาเป็นทีมหัวแถว ได้รองแชมป์ลีก ส่วน หงส์แดง หลุดไปอยู่อันดับ 6

วลีที่ แฟนบอลลิเวอร์พูล เคยล้อแฟนบอลแมนยูฯว่า พวกเขาคือแชมป์สูงสุดอังกฤษ 18 สมัย เมื่อครั้ง แมนยูฯ ได้แค่ 7 สมัย คงไม่มีแฟนเดอะ ค็อป คนไหนคิดว่าในช่วงเวลาไม่ถึง 30 ปีหลังจากนั้น ปิศาจแดง เดินหน้ากวาดแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ถึง 13 สมัย ยึดตำแหน่งสโมสรฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของลูกหนังเมืองผู้ดี

ฤดูกาล 1992-93 ปีแรกที่ลีกสูงสุดใช้ชื่อพรีเมียร์ลีก ลูกทีมของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้าป้ายในฐานะแชมป์ ส่วน ลิเวอร์พูล จบอันดับ 6 ซึ่งพรีเมียร์ลีก 9 ฤดูกาลแรก ผลงานของ แมนยูฯ เหนือกว่า ลิเวอร์พูล ชัดเจน พลพรรคปิศาจแดง ไม่ได้แชมป์ก็รองแชมป์ ขณะที่ ลิเวอร์พูล ยังไม่เข้าใกล้แม้กระทั่งคำว่าลุ้นแชมป์ แถมยังเคยหลุดไปถึงอันดับ 8 ในปี 1993-94 รวมทั้งในฤดูกาล 1998-99 แมนยูฯ สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกของอังกฤษที่ได้ทริปเปิลแชมป์ ทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ส่วนคู่ปรับตลอดกาล ต้องก้มหน้าเห็นแมนยูฯ กลายเป็นทีมเบอร์ 1 ของยุโรป ขณะที่ ลิเวอร์พูล ทำได้แค่อันดับ 7

ลูกหนังอังกฤษเมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 หรือยุคมิลเลเนียม แมนยูฯ สานต่อความสำเร็จจากปีทริปเปิลแชมป์ ได้พรีเมียร์ลีกอีก 2 สมัย กระทั่งฤดูกาล 2001-02 เป็นซีซั่นแรกที่ ลิเวอร์พูล ผลงานดีกว่าปิศาจแดง เมื่อพวกเขาไ้ด้รองแชมป์พรีเมียร์ลีก และเป็นสิงห์บอลถ้วย ได้แชมป์ลีกคัพ, เอฟเอ คัพ และยูฟ่า คัพ ส่วนแมนยูฯ จบอันดับ 3 ก่อนจะมีแชมป์เมเจอร์ให้แฟนบอลได้ชื่นใจ คือการได้แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004-2005 แม้ในลีกจะจบอันดับ 5 ก็ตาม

จากนั้น ผลงานและอันดับบนตารางคะแนนของ แมนยูฯ ก็อยู่เหนือ ลิเวอร์พูล เรื่อยมา จนมาถึงจุดเปลี่ยนเมื่อเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บรมกุนซือประกาศวางมือ หลังพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 13 ฤดูกาล 2012-13 หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคตกต่ำของแมนยูฯ ฤดูกาล 2013-14 ปีแรกที่ไร้เงา เซอร์อเล็กซ์ อยู่ข้างสนาม พวกเขาจบอันดับ 7 ขณะที่ ลิเวอร์พูล มาพลาดในช่วงโค้งสุดท้ายไม่กี่นัดก่อนจบฤดูกาล พลาดแชมป์อย่างน่าเจ็บใจ

ปี 2015 การมาของชายที่ชื่อ เยอร์เกน คลอปป์ เหมือนเป็นความหวังใหม่ของ ลิเวอร์พูล “เดอะ นอมอล วัน” ใช้เวลาสร้างทีม กระทั่งได้เห็นความสำเร็จเป็นรูปธรรมคือการได้รองแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2017-18 ต่อด้วยการเข้าป้ายรองแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018-19 แพ้ทีมแชมป์ แมนฯซิตี้ แค่คะแนนเดียว แต่ก็มีรางวัลปลอบใจเป็นโทรฟี แชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 สวนทางกับ พลพรรคเรด เดวิลส์ ที่ได้แค่อันดับ 6 และดูเหมือนจะเร่ิมห่างชั้นจาก ลิเวอร์พูล ออกไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะฤดูกาลนี้ เยอร์เกน คลอปป์ ก็นำทีมยุติ 30 ปีที่รอคอยลงได้สำเร็จชนิดที่ผู้จัดการทีมคนก่อนทั้ง รอนนี โมแรน, แกรม ซูเนสส์, รอย อีแวนส์, เชราร์ อุลลิเยร์, ราฟาเอล เบนิเตซ, รอย ฮอดจ์สัน, เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ไม่เคยมีใครทำได้ และนั่นทำให้แฟนบอลปิศาจแดง ได้แต่มองตาปริบๆ ว่าทีมจะจบอันดับใด ในระหว่างที่ สาวกหงส์แดงทั่วโลก กำลังจะฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีก และแชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษสมัยแรกในรอบ 30 ปี.

การบริหารทีม

ตลอดช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล มีการบริหารทีมที่เป็นธุรกิจครอบครัวแบบอนุรักษ์นิยม ไม่มีแบบแผนหรือแนวทางของทีมที่ชัดเจนและแปรเปลี่ยนไปตามผู้จัดการทีมคนนั้นๆ นั่นส่งผลทำให้โดยรวมแล้วสโมสรไม่สามารถเดินหน้าไปได้อย่างที่ควรจะเป็นและสถานการณ์ดังกล่าวมันสะท้อนไปถึงมูลค่าทางการตลาดของสโมสรที่เทียบไม่ติดเลยกับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ตอนนั้นมีแนวทางของทีมที่ชัดเจนคือมีใช้การใช้นักเตะที่เป็นเด็กปั้นของสโมสรจนโด่งดังขึ้นมาหลาย อาทิ “คลาส ออฟ 92” อันเลื่องลือ ตลอดจนพวกเขายังเน้นในเรื่องของการตลาดในเชิงธุรกิจที่ทำให้ทีมมีรายได้เยอะมากกว่าจนก้าวขึ้นไปติด 1 ใน 3 ของโลกในสโมสรฟุตบอลจนถึงทุกวันนี้

ท่านเซอร์เฟอร์กี้

ความยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 90 จนถึงยุคมิลเลนเนียม คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มาจากกึ๋นและมันสมองของชายที่ชื่อ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่เข้ามาช่วยพลิกฟื้นให้ทีม “ปิศาจแดง” กลายสภาพจากลูกไล่ ให้ขึ้นมาเป็นลูกพี่ใหญ่บนสังเวียนลูกหนังอังกฤษ หลักฐานที่ชัดเจนคือแชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย

ปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ ในประเด็นแรกคือ “ความเด็ดขาด” ถ้ายังจำกันได้ นักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ ต้องเก็บกระเป๋าออกจากโอลด์ แทรฟเฟิร์ด ก่อนเวลาอันควร เมื่อป๋ารู้สึกว่าลูกทีมคนนั้น เริ่มตัวใหญ่คับสโมสรและไม่อยู่ในการควบคุมแล้ว ไม่ว่าจะเป็น พอล อินซ์, เดวิด เบคแคม, รุด ฟาน นิสเตลรอย หรือแม้แต่กัปตันคู่บุญอย่าง รอย คีน ก็ไม่รอด

ส่วนอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การให้ความสำคัญกับการพัฒนาดาวรุ่ง ซึ่งนักเตะชุด Class of 92 คือบทพิสูจน์นั้นดี ซึ่งถึงแม้จะหมดจากยุคนั้นไป ก็ยังมีดาวรุ่งถูกดันขั้นมาสู่ชุดใหญ่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์, เจสซี ลินการ์ด, จอนนี อีแวนส์, แดนนี เวลเบค, ทอม เคลเวอร์ลีย์, ไมเคิล คีน, อัดนาน ยานาไซ

ถึงแม้ว่าบางรายจะไปรอด บางรายถูกปล่อยไปสู่เส้นทางใหม่ เนื่องจากไม่ดีพอสำหรับทีมในอนาคต แต่อย่างน้อยนักเตะทั้งหมดก็ได้รับความไว้วางใจจากพ่อใหญ่ประจำทีม เพื่อพิสูจน์ตัวเองในสนามแล้ว

ทำเนียมแชมป์ทุกรายการ : ลิเวอร์พูล (48 ถ้วย)

– แชมป์ลีกสูงสุด 19 สมัย (ดิวิชั่น 1 เดิม 18 สมัย, พรีเมียร์ลีก 1 สมัย)

– เอฟเอ คัพ 7 สมัย

– ลีก คัพ 8 สมัย

-ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก (ยูโรเปี้ยน คัพ) 6 สมัย

-ยูฟ่า คัพ (ยูโรปาลีก) 3 สมัย

– ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 4 สมัย

-แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย

ทำเนียบแชมป์ทุกรายการ : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (45 ถ้วย)

– แชมป์ลีกสูงสุด 20 สมัย (ดิวิชั่น 1 เดิม 7 สมัย, พรีเมียร์ลีก 13 สมัย)

– เอฟเอ คัพ 12 สมัย

– ลีก คัพ 5 สมัย

– ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก (ยูโรเปี้ยน คัพ) 3 สมัย

– ยูโรปาลีก 1 สมัย

– ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ 1 สมัย

– คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย

– อินเตอร์คอนติเนนตัลคัพ 1 สมัย

– แชมป์สโมสรโลก 1 สมัย

เชลซีเตรียมเสียแข้งดังมากถึง 6 คนแลกกับการมาถึงของฮาแวร์ทซ์

มีรายงานข่าวว่า เชลซี สโมสรมหาเศรษฐีแห่งกรุงลอนดอนในเวทีพรีเมียร์ ลีก เตรียมเสียผู้เล่นชุดใหญ่มากถึง 6 คนเพื่อแลกกับการได้มาของไค ฮาแวร์ทซ์ ดาวเตะเนื้อหอมของเลเวอร์คูเซ่น ในเวทีบุนเดสลีก้า

มีรายงานว่า เชลซี อาจเสียผู้เล่นมากถึง 6 คนแลกกับการได้มาของไค ฮาแวร์ทซ์ โดยดาวเตะทีมชาติเยอรมนี กลายเป็นเป้าหมายสูงสุดของทัพ ‘สิงโตน้ำเงินคราม’ ในขณะนี้แม้ว่าพวกเขาจะได้ตัวฮาคิม ซิเยช และ ติโม แวร์เนอร์ มาร่วมทีมแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนว่ายอดทีมแห่งลอนดอนกำลังจะเตรียมที่ว่างไว้ให้กับแข้งวัย 20 ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นให้กับไบเออร์เลเวอร์คูเซ่น ในฤดูกาลนี้

เชลซีต้องการเซ็นสัญญาฮาแวร์ทซ์ โดยที่แฟรงค์ แลมพาร์ด เชื่อว่า ดาวเตะของ ‘ห้างยา’ รายนี้จะสามารถช่วยทีมให้สามารถลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีก กับทีมอย่างลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลหน้าได้ และ Football London เผยว่า อาจมีนักเตะมากถึง 6 คนที่จะต้องย้ายออกจากถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เพื่อให้สามารถได้ตัวแข้งวัย 20 มาครอบครอง ซึ่ง 2 จาก 6 คนที่ว่าสัญญากับทีมก็กำลังจะหมดในช่วงสิ้นสุดฤดูกาล

อาร์เซนอลต้องการลายเซ็นของวิลเลียนที่สามารถย้ายทีมได้แบบไร้ค่าตัว ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ตกเป็นข่าวว่าเตรียมฉกแข้งชาวบราซิลเลี่ยนรายนี้เช่นกัน ส่วนโรม่าก็กำลังจะได้ตัวเปโดร ไปร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ ทางด้านมิชี่ บาตชัวยี่, ติเอมูเอ้ บากาโยโก้, แดนนี่ ดริงค์วอเตอร์ และ เอเมอร์สัน พัลมิเอรี่ ก็มีแนวโน้มย้ายออกจากสโมสรเช่นกัน โดยบาตชัวยี่ อยู่กับสโมสรมาตั้งแต่ปี 2016 แต่ไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงของทีมได้ ตอนนี้เมื่อแวร์เนอร์กำลังจะเข้ามา การแยกทางของบาตชัวยี่จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

บากาโยโก้ ย้ายมาเมื่อปี 2017 ในยุคอันโตนิโอ คอนเต้ แต่เขาไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองในเวทีพรีเมียร์ ลีก ได้ โดยโมนาโกแสดงความต้องการแข้งเลือดน้ำหอมรายนี้แต่เจ้าตัวกลับอยากย้ายไปทีมแชมป์ลีกเอิงอย่างปารีส แซงต์-แชร์กแมง ส่วนดริงค์วอเตอร์ ฟอร์มตกลงไปเยอะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และกองกลางที่เคยคว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก กับเลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2016 ก็กำลังจะต้องย้ายทีมเช่นกัน ทางด้านพัลมิเอรี่ ก็อยากกลับไปอิตาลี โดยมียูเวนตุสที่กำลังให้ความสนใจดาวเตะทีมชาติอิตาลีรายนี้อยู่

เชลซีหวังว่า การย้ายทีมออกไปเป็นจำนวนมากของนักเตะเหล่านั้นจะช่วยให้ทีมมีที่ว่างและได้เงินพอมาซื้อฮาแวร์ทซ์ที่ฟอร์มระเบิดกับเลเวอร์คูเซ่น แต่การเซ็นสัญญาแข้งรายนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อพวกเขาจะต้องแข่งกับเรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิก และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ให้ความสนใจอยู่เช่นกัน

ข่าวกีฬา ข่าวฟุตบอล

แมนยูขอขึ้นที่4 “บรูโน่- ป็อกบา” ผนึกหลอน,สเปอร์สจัด “เคน-ซน” โป้งสู้

แมนยูขอขึ้นที่4! "บรูโน่- ป็อกบา" ผนึกหลอน,สเปอร์สจัด "เคน-ซน" โป้งสู้

คู่เดือดประจำวัน ปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากคว้าชัยจะแซงขึ้นไปรั้งอันดับที่ 4 ของตารางคะแนนทันทีโดยเตรียมส่ง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ลงพร้อมกับ ปอล ป็อกบา เกมเยือนบ้าน “ไก่เดือยทอง” สเปอร์ส ที่จะมี แฮร์รี่ เคน กับ ซน ฮึง-มิน ผนึกพังตาข่าย ลุ้นระทึกได้ในศึกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ วันศุกร์ที่ 19 มิ.ย. ศกนี้   ถ่ายทอดสด : True Premier HD 1 (เวลา : 02.15 น.)

ปรีวิวฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563
สเปอร์ส   –   แมนฯ ยูไนเต็ด
ถ่ายทอดสด
 : True Premier HD 1 (เวลา : 02.15 น.)

สนาม : ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม    โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือ ”ไก่เดือยทอง” พาทีมได้แค่ 1 แต้มจาก 3 เกมล่าสุดและไม่ชนะ 6 เกมในทุกรายการก่อนที่ ไวรัสโควิด-19 จะระบาด พวกเขาอยู่อันดับ 8 ตามหลัง เชลซี อันดับ 4 อยู่ 7 คะแนนโดยฟอร์มล่าสุดไปเสมอกับ เบิร์นลี่ย์ 1-1

    สภาพทีมของ สเปอร์ส ดีกว่าตอนเดือนมีนาคมมาก แฮร์รี่ เคน, ซน ฮึง-มิน, สตีเว่น เบิร์กไวน์ และ มูสซ่า ซิสโซโก้ ที่เจ็บในตอนนั้นกลับมาฟิตทั้งหมด

    แต่นัดนี้ เดเล่ อัลลี่ ตัวรุกคนสำคัญจะติดโทษแบนเนื่องจากไปอัดคลิปล้อเลียนชาวเอเชียที่เขาแซวว่าเป็นต้นเหตุของไวรัสครั้งนี้ 

    ขณะที่ดาวรุ่งอย่าง จาเฟ็ต แทนทังก้า และ ทรอย แพร์ร็อตต์ เดี้ยงไม่น่าจะมีชื่อในเกมนี้

    ฟาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือชาวนอร์เวย์พาทีม ปีศาจแดง ไม่แพ้ใคร 11 นัดในทุกรายการแถมยังได้ 9 คลีนชีตก่อนที่ไวรัสจะระบาด พวกเขาอยู่อันดับ 5 ในลีกและถ้าบุกชนะ สเปอร์ส ก็จะแซง เชลซี ไปอยู่ในพื้นที่ ชปล. ด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่าทันที

    ฟอร์มล่าสุด แมนฯ ยูฯ บุกชนะ แอลเอเอสเค ลินซ์ ใน ยูโรปา ลีก ถึง 5-0 โดยสภาพทีมของพวกเขาถือว่าสุดยอดเลยทีเดียว โดยเฉพาะ ปอล ป็อกบา และ มาร์คัส แรชฟอร์ด 2 สตาร์สำคัญฟิตกลับมาพร้อมลงสนามแล้ว

    ผู้เล่นคนเดียวของ แมนฯ ยูฯ ในตอนนี้ที่มีปัญหาความฟิตอยู่ได้แก่ ฟิล โจนส์ กองหลังตัวสำรองนั่นเอง

    ด้านแนวรุกคาดว่าจะวาง แดเนียล เจมส์, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด และ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ประสานงานร่วมกัน

รายชื่อผู้เล่นที่คาดว่าจะลงสนาม

สเปอร์ส (4-2-3-1) : อูโก้ โยริส – แซร์ช โอริเย่ร์, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, ดาวินซอน ซานเชซ, แยน แฟร์ต็องเก้น – แฮร์รี่ วิงค์ส, มูสซ่า ซิสโซโก้ – สตีเฟ่น เบิร์กไวน์, ลูกัส มูร่า, ซน ฮึง-มิน – แฮร์รี่ เคน
ผู้จัดการทีม : โชเซ่ มูรินโญ่

แมนฯ ยูไนเต็ด (4-2-3-1) : ดาบิด เด เคอา – อารอน วาน-บิสซาก้า, บิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, แฮร์รี่ แม็กไกวร์, ลุค ชอว์ – สกอตต์ แม็คโทมิเนย์, ปอล ป็อกบา – แดเนียล เจมส์, บรูโน่ แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด – อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล
ผู้จัดการทีม : โอเล่ กุนนาร์ โซลชา

ผู้ตัดสิน :โจนาธาน มอสส์

ผลการพบกันที่ผ่านมา  
วัน/เดือน/ปี    รายการ    ผลการแข่งขัน

05/12/19    พรีเมียร์ลีก    แมนฯ ยูไนเต็ด    2 – 1 สเปอร์ส
25/07/19    ไอซีซี    สเปอร์ส    1 – 2 แมนฯ ยูไนเต็ด
13/01/19    พรีเมียร์ลีก    สเปอร์ส    0 – 1 แมนฯ ยูไนเต็ด
28/08/18    พรีเมียร์ลีก    แมนฯ ยูไนเต็ด    0 – 3 สเปอร์ส
21/04/18    เอฟเอ คัพ    แมนฯ ยูไนเต็ด    2 – 1 สเปอร์ส
01/02/18    พรีเมียร์ลีก    สเปอร์ส    2 – 0 แมนฯ ยูไนเต็ด
28/10/17    พรีเมียร์ลีก    แมนฯ ยูไนเต็ด    1 – 0 สเปอร์ส

ผลงาน 5 นัดหลังสุด
สเปอร์ส

11/03/20    แพ้ ไลป์ซิก 0-3 (เยือน) ชปล.
08/03/20    เสมอ เบิร์นลี่ย์ 1-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
04/03/20    เสมอ นอริช ซิตี้ (แพ้จุดโทษ 2-3)
(เหย้า) เอฟเอ คัพ
01/03/20    แพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-3 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
22/02/20    แพ้ เชลซี 1-2 (เยือน) พรีเมียร์ลีก

แมนฯ ยูไนเต็ด
12/03/20    ชนะ แอลเอเอสเค 5-0 (เยือน) ยูโรปา ลีก
08/03/20    ชนะ แมนฯ ซิตี้ 2-0 (เหย้า) พรีเมียร์ลีก
05/03/20    ชนะ ดาร์บี้ 3-0 (เยือน) เอฟเอ คัพ
01/03/20    เสมอ เอฟเวอร์ตัน 1-1 (เยือน) พรีเมียร์ลีก
27/02/20    ชนะ คลับ บรูช 5-0 (เหย้า) ยูโรปา ลีก

ตารางบอลวันนี้ พรีเมียร์ลีกถึงคิวแมนยู ลาลีกามีบิ๊กแมตช์ เช็กโปรแกรมบอลวันนี้+ช่องถ่ายทอดสด

ตารางบอลวันนี้! พรีเมียร์ลีกถึงคิวแมนยู ลาลีกามีบิ๊กแมตช์ เช็กโปรแกรมบอลวันนี้+ช่องถ่ายทอดสด

วันนี้ศึกพรีเมียร์ลีกเป็นการเตะนัดที่ 30 มีบิ๊กแมตช์ สเปอร์ส พบ แมนยู ขณะที่ลาลีกา สเปน ยังคงมีเตะต่อเนื่องเซบีย่า พบ บาร์เซโลน่า นอกจากนี้ยังมีลีกโปรตุเกส และ ตุรกี ให้ตามเชียร์เรามีโปรแกรมฟุตบอลวันนี้ พร้อมช่องถ่ายทอดสดฟุตบอลมาฝากแฟนบอลที่ต้องการดูบอลสด

    โปรแกรม พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

    00:00 น. นอริช ซิตี้ พบ เซาธ์แฮมป์ตัน >>> True Premier Football  HD 1 (600)
    02:15 น. สเปอร์ส พบ แมนฯ ยูไนเต็ด >>> True Premier Football HD 1 (600)โปรแกรมลาลีกา สเปน

    00:30 น. เรอัล มายอร์ก้า พบ เลกาเนส >>> beIN SPORTS CONNECT
    00:30 น. กรานาด้า พบ บียาร์เรอัล >>> beIN SPORTS CONNECT
    03:00 น. เซบีย่า พบ บาร์เซโลน่า >>> beIN SPORTS CONNECT

    โปรแกรมกัลโช่ เซเรีย บี อิตาลี

    22:30 น. สเปเซีย พบ เอ็มโปลี

    โปรแกรมลีกา อเดลันเต้ สเปน

    00:30 น. เอลเช่ พบ คิโรน่า

    โปรแกรมซูเปอร์ลีกา โปรตุเกส

    01:00 น. วิตอเรีย กิมาไรช์ พบ โมไรเรนเซ่
    03:15 น. ฟามาลิกัว พบ ปอร์ติ้ง บราก้า

    โปรแกรมซูเปอร์ลีก ตุรกี

    01:00 น. อันคารากูคู พบ อิสตันบูล บาซัคเซเฮียร์

มีกลิ่น ฮาแวร์ทซ์ส่งสัญญาณสนซบ1ทีมอังกฤษ

มีกลิ่น?ฮาแวร์ทซ์ส่งสัญญาณสนซบ1ทีมอังกฤษ

ไค ฮาแวร์ทซ์ มิดฟิลด์ เลเวอร์คูเซ่น จุดประเด็นร้อนว่าสนใจจะมาซบ เชลซี หลังจากไปกด “ถูกใจ” ข้อความที่อยากให้ “สิงโตน้ำเงินคราม” ประกาศเซ็นสัญญากับเขา หลังจากที่เจ้าตัวตกเป็นข่าวกับ เชลซี อย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา

    แอคเคาท์ ทวิตเตอร์ อย่างเป็นทางการของ ไค ฮาแวร์ทซ์ กองกลางดาวรุ่งของ ไบเออร์เลเวอร์ คูเซ่น สโมสรชั้นนำแห่งศึก บุนเดสลีกา เยอรมัน กด “ถูกใจ” ข้อความที่อยากให้ เชลซี เซ็นสัญญากับเขา

    หลังจากทำไป 20 ประตู กับอีก 7 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 42 นัดในทุกรายการเมื่อฤดูกาล 2018-19 ฮาแวร์ทซ์ ก็ยังรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้ในซีซั่นนี้ด้วยการทำไปแล้ว 16 ประตู กับอีก 9 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 40 นัดในทุกรายการ ซึ่งมันก็ทำให้เขาตกเป็นข่าวกับหลายทีมยักษ์ใหญ่ทั่วทวีปยุโรปในช่วงที่ผ่านมา อย่างเช่น เชลซี, ลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, บาเยิร์น มิวนิค และ เรอัล มาดริด เป็นต้น แต่ทาง “สิงโตน้ำเงินคราม” ถูกยกให้เป็นตัวเต็งอันดับ 1 ที่จะได้ตัวเขาไปร่วมทัพ    ทั้งนี้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา เชลซี ได้ประกาศว่าพวกเขาบรรลุข้อตกลงคว้าตัว ติโม แวร์เนอร์ กองหน้า แอร์เบ ไลป์ซิก มาร่วมทัพได้แล้ว โดยการประกาศมีทั้งบนเว็บไซต์ของสโมสร และ ทวิตเตอร์ ซึ่งในการประกาศบน ทวิตเตอร์ นั้น มันก็มีคนเข้าไปโพสต์แสดงความคิดเห็นกันหลายแบบ โดยหนึ่งในนั้นคือแอคเคาท์ของแฟนบอลชื่อ มาซูด คาริมิส ที่พิมพ์ว่า “ประกาศซิว ฮาแวร์ทซ์ ด้วยสิ”

    ในเวลาต่อมาหลายคนก็ต้องแปลกใจเมื่อแอคเคาท์ของ ฮาแวร์ทซ์ ไปกด “ถูกใจ” ข้อความนั้นด้วย จนทำให้บางคนเชื่อว่าดาวเตะชาวเยอรมันแย้มว่าสนใจที่จะไปอยู่กับ เชลซี อย่างเช่นการโพสต์ข้อความว่า “ฮาแวร์ทซ์ กดถูกใจโพสต์นี้ เขากำลังจะมาอยู่กับทีมจริงๆ แล้ว”, “ที่จริง ฮาแวร์ทซ์ ไม่ใช่คนที่ชอบกดถูกใจทวีตหรือรูปอะไรมากมายเลย หรือที่เขากดถูกใจโพสต์นี้มันจะมีความหมายบางอย่าง ?!!!” เป็นต้น ขณะที่ คาริมิส ซึ่งเป็นเจ้าของโพสต์ที่ ฮาแวร์ทซ์ กดถูกใจนั้น โพสต์ในเวลาต่อมาว่า “เขากดถูกใจแค่ไม่กี่วินาทีหลังจากที่ผมแสดงความเห็นลงไป มันแปลว่าเขาต้องเปิดการแจ้งเตือนจากโพสต์ของ เชลซี อยู่แหงๆ เราเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ เรายิ่งใหญ่กันสุดๆ”

ข่าวฟุตบอล สโมสรนักฟุตบอล อัพเดทข่าวฟุตบอล

ดับเสียงกูรู ซีดานชมเบนเซม่ายิงสุดสวย

ดับเสียงกูรู!ซีดานชมเบนเซม่ายิงสุดสวย (ชมคลิป)

ซีเนดีน ซีดาน นายใหญ่ เรอัล มาดริด ออกปากยกย่อง คาริม เบนเซม่า ที่ยิงได้สวยสุดๆ ในเกมที่ทีมของตนทุบ บาเลนเซีย แถมยังชม เอแด็น อาซาร์ ด้วยว่าเล่นได้ดีในเกมนี้

   ซีเนดีน ซีดาน เทรนเนอร์ เรอัล มาดริด กล่าวชม คาริม เบนเซม่า กองหน้าชาวฝรั่งเศสที่ทำประตูสุดสวยได้ในจังหวะที่เขาทำประตูที่สองของตัวเอง ในเกม ลา ลีกา สเปน นัดที่ “ราชันชุดขาว” เปิด เอสตาดิโอ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ เอาชนะ บาเลนเซีย 3-0 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา

    ในนัดดังกล่าว เบนเซม่า เป็นคนทำประตูขึ้นนำ 1-0 ให้กับ มาดริด ในนาทีที่ 61 หลังจากที่ เอแด็น อาซาร์ แตะบอลให้เขาทำประตู ก่อนที่ มาร์โก อเซนซิโอ จะทำให้เจ้าถิ่นหนีห่างเป็น 2-0 ในนาทีที่ 74 และพอเข้าสู่ช่วง 4 นาทีสุดท้าย เบนเซม่า ทำประตูสุดสวยด้วยการกระดกบอลหนีผู้เล่น บาเลนเซีย ก่อนที่จะวอลเล่ย์เข้าไปอย่างเฉียบขาด และการทำ 2 ประตูในเกมนี้ทำให้ เบนเซม่า แซง เฟเรนซ์ ปุสกัส ขึ้นไปเป็นอันดับ 5 ในชาร์ตดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลจากการลงเล่นในทุกรายการของ มาดริดด้วยจำนวน 243 ประตู    ซีดาน เผยว่า “มันเป็นประตูที่ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะทั้งในด้านการเคลื่อนที่และการจบสกอร์ ผมพอใจกับประตูของ คาริม มากๆ เขาเล่นได้ดีเหมือนกับทุกคนในทีม แต่ประตูนั้นของเขามันวิเศษมากๆ เรารู้ดีว่าเขาเล่นด้วยเท้าซ้ายได้ดีอยูแล้ว แต่การที่เขายกบอลหนีได้และยิงได้แบบนั้นด้วยเท้าซ้ายของเขาทั้งที่บอลมันยังไม่หล่นไปบนพื้นเลยมันถือเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขามีทักษะที่ยอดเยี่ยมมากๆ”

    “มันเป็นประตูที่สวย และผมดีใจแทนเขาที่ทำประตูแบบนั้นได้ เราเห็น คาริม ต้องรับบทบาทกองหน้าหมายเลข 9 ให้กับ มาดริด อยู่บ่อยๆ และเขาถูกมองว่าต้องมีหน้าที่ทำประตูให้ได้ แต่ที่จริงเขาไม่ได้มีดีแค่การทำประตูเพียงอย่างเดียว ดังนั้นผมเลยมักจะรู้สึกดีใจเมื่อเห็นเขาทำประตูได้ เพราะมันเป็นการหุบปากบางคนได้นิดหน่อย เขาทำอย่างนั้นได้อยู่เสมอ”

    กุนซือชาวฝรั่งเศสยังชม อาซาร์ ด้วยว่าทำผลงานได้น่าประทับใจในเกมดับ บาเลนเซีย หลังจากที่ผ่านมาเขาโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างต่อเนื่องจนทำให้มีความฟิตไม่ดีเท่าไหร่ “นี่เป็นเกมที่ดีมากๆ ของ อาซาร์ เขามีสภาพร่างกายที่ดี และได้เล่น 80 นาที บางครั้งคุณอาจจะคิดว่าเขาเริ่มดูหมดแรงแล้ว แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ไปรับบอลมาก่อนจะกระชากขึ้นไปได้หน้าตาเฉย”

ข่าวฟุตบอล อัพเดทข่าวฟุตบอล