ดับเสียงกูรู ซีดานชมเบนเซม่ายิงสุดสวย

ดับเสียงกูรู!ซีดานชมเบนเซม่ายิงสุดสวย (ชมคลิป)

ซีเนดีน ซีดาน นายใหญ่ เรอัล มาดริด ออกปากยกย่อง คาริม เบนเซม่า ที่ยิงได้สวยสุดๆ ในเกมที่ทีมของตนทุบ บาเลนเซีย แถมยังชม เอแด็น อาซาร์ ด้วยว่าเล่นได้ดีในเกมนี้

   ซีเนดีน ซีดาน เทรนเนอร์ เรอัล มาดริด กล่าวชม คาริม เบนเซม่า กองหน้าชาวฝรั่งเศสที่ทำประตูสุดสวยได้ในจังหวะที่เขาทำประตูที่สองของตัวเอง ในเกม ลา ลีกา สเปน นัดที่ “ราชันชุดขาว” เปิด เอสตาดิโอ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ เอาชนะ บาเลนเซีย 3-0 เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา

    ในนัดดังกล่าว เบนเซม่า เป็นคนทำประตูขึ้นนำ 1-0 ให้กับ มาดริด ในนาทีที่ 61 หลังจากที่ เอแด็น อาซาร์ แตะบอลให้เขาทำประตู ก่อนที่ มาร์โก อเซนซิโอ จะทำให้เจ้าถิ่นหนีห่างเป็น 2-0 ในนาทีที่ 74 และพอเข้าสู่ช่วง 4 นาทีสุดท้าย เบนเซม่า ทำประตูสุดสวยด้วยการกระดกบอลหนีผู้เล่น บาเลนเซีย ก่อนที่จะวอลเล่ย์เข้าไปอย่างเฉียบขาด และการทำ 2 ประตูในเกมนี้ทำให้ เบนเซม่า แซง เฟเรนซ์ ปุสกัส ขึ้นไปเป็นอันดับ 5 ในชาร์ตดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลจากการลงเล่นในทุกรายการของ มาดริดด้วยจำนวน 243 ประตู    ซีดาน เผยว่า “มันเป็นประตูที่ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะทั้งในด้านการเคลื่อนที่และการจบสกอร์ ผมพอใจกับประตูของ คาริม มากๆ เขาเล่นได้ดีเหมือนกับทุกคนในทีม แต่ประตูนั้นของเขามันวิเศษมากๆ เรารู้ดีว่าเขาเล่นด้วยเท้าซ้ายได้ดีอยูแล้ว แต่การที่เขายกบอลหนีได้และยิงได้แบบนั้นด้วยเท้าซ้ายของเขาทั้งที่บอลมันยังไม่หล่นไปบนพื้นเลยมันถือเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขามีทักษะที่ยอดเยี่ยมมากๆ”

    “มันเป็นประตูที่สวย และผมดีใจแทนเขาที่ทำประตูแบบนั้นได้ เราเห็น คาริม ต้องรับบทบาทกองหน้าหมายเลข 9 ให้กับ มาดริด อยู่บ่อยๆ และเขาถูกมองว่าต้องมีหน้าที่ทำประตูให้ได้ แต่ที่จริงเขาไม่ได้มีดีแค่การทำประตูเพียงอย่างเดียว ดังนั้นผมเลยมักจะรู้สึกดีใจเมื่อเห็นเขาทำประตูได้ เพราะมันเป็นการหุบปากบางคนได้นิดหน่อย เขาทำอย่างนั้นได้อยู่เสมอ”

    กุนซือชาวฝรั่งเศสยังชม อาซาร์ ด้วยว่าทำผลงานได้น่าประทับใจในเกมดับ บาเลนเซีย หลังจากที่ผ่านมาเขาโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างต่อเนื่องจนทำให้มีความฟิตไม่ดีเท่าไหร่ “นี่เป็นเกมที่ดีมากๆ ของ อาซาร์ เขามีสภาพร่างกายที่ดี และได้เล่น 80 นาที บางครั้งคุณอาจจะคิดว่าเขาเริ่มดูหมดแรงแล้ว แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ไปรับบอลมาก่อนจะกระชากขึ้นไปได้หน้าตาเฉย”

ข่าวฟุตบอล อัพเดทข่าวฟุตบอล

ซาลาห์ไหวมั้ย? คล็อปป์อัพเดทความพร้อมลิเวอร์พูลก่อนฉะเอฟเวอร์ตัน

ซาลาห์ไหวมั้ย?คล็อปป์อัพเดทความพร้อมลิเวอร์พูลก่อนฉะเอฟเวอร์ตัน

เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ ลิเวอร์พูล อัพเดทความพร้อมของทีมก่อนเล่นเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์กับ เอฟเวอร์ตัน ท่ามกลางข่าวลือว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ มีสภาพความฟิตไม่ดีเท่าไหร่

   เจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีม ลิเวอร์พูล กล่าวว่าตอนนี้ลูกทีมทุกคนพร้อมลงเล่นในเกม พรีเมียร์ลีก นัดเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้แมตช์ ที่ทัพ “หงส์แดง” ต้องไปเยือน เอฟเวอร์ตัน ที่สนาม กูดิสัน พาร์ค วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายนนี้

    ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องการอีก 6 คะแนน สำหรับการการันตีแชมป์ลีกเป็นหนแรกในรอบ 30 ปี ซึ่งเกมแรกในการกลับมาเตะของพวกเขาคือการไปเยือนคู่อริร่วมเมือง แต่ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่า โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปีกชาวอียิปต์มีสภาพความฟิตที่ไม่ดีเท่าไหร่จนตองอดลงซ้อมกับทีมเมื่อวันพุธที่ 17 มิถุนายน ที่ผ่านมา    ทั้งนี้ คล็อปป์ เพิ่งโดนถามระหว่างการให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสรว่าทีมของเขากลับมาซ้อมกันอย่างเต็มที่ได้รวดเร็วได้อย่างไรทั้งที่ต้องพักไปนาน ซึ่งเขาตอบว่า “หลังจากที่พักไปนานเราก็ซ้อมแบบปกติกัน แต่ผมไม่มั่นใจว่ามันจะมีส่วนหรือเปล่า มันก็แค่เราซ้อมกันตามปกติ”

เรื่องต่างๆ มันเกิดขึ้นมาเอง เรายังมีการจัดเกมเล่นกันด้วย ตอนนี้ไม่มีใครทั้งนั้นที่จะหมดสิทธิ์ลงเล่นในวันอาทิตย์นี้ แต่เราต้องรอดูกันอีกที ตอนนี้มีบางคนที่ซ้อมได้มากกว่าคนอื่น ส่วนบางคนซ้อมได้น้อยกว่าคนอื่น แต่นักเตะส่วนใหญ่สามารถลงซ้อมได้ในทุกช่วงเลย นั่นถือเป็นข่าวดี และท้ายที่สุดแล้วผมเชื่อมั่นแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าเราจะสามารถจัดทีมที่ดีลงไปเล่นในสนามได้

ซาลาห์ไหวมั้ย? คล็อปป์อัพเดทความพร้อมลิเวอร์พูลก่อนฉะเอฟเวอร์ตัน

เต็มสูบ มูรินโญ่ยันพร้อมส่งเคน – ซนลงฟัดผีแดง

โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เปิดเผยว่า แฮร์รี่ เคน และ ซน ฮึง-มิน จะพร้อมลงตัวจริงในเกมเปิดบ้านทำศึกกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

เคน ได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นกล้ามเนื้อหลังหัวเข่าฉีกขาดจากเกมเจอ เซาธ์แฮมป์ตัน ในวันปีใหม่ 1 มกราคม 2020 ทำให้เขาต้องพักยาวร่วม 6 เดือน ขณะที่ ซน ก็เจ็บมาตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ทั้งสองกลับมาฟิตสมบูรณ์และพร้อมลงสนามแล้ว

“ผมสามารถบอกกับคุณได้เลยว่า เขา (เคน) เขาไม่มีปัญหาในการออกสตาร์ทเป็นตัวจริง” มูรินโญ่ เผยก่อนเกม

“แต่เขาจะลงเล่นตลอดทั้งเกม 90 นาที หรือ 80, 70, 60 นาที? ผมไม่รู้หรอก เวลาในเกมเท่านั้นที่จะบอกเราได้”

“เขาจะอยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดหรือไม่? เราไม่รู้ แต่เขาทำงานหนักมาก เขาเป็นมืออาชีพสุด ๆ และจะได้ออกสตาร์ทในเกมวันพรุ่งนี้”

“ขณะที่ ซน และ ซิสโซโก้ ต่างก็พร้อมเช่นกัน”

นอกจากนี้ “ไก่เดือยทอง” ยังได้ มุสซ่า ซิสโซโก้ กองกลางจอมขยันที่หายจากอาการบาดเจ็บร่วม 6 เดือน กลับมาพร้อมลงฉะปีศาจแดงเช่นกัน

10 การเปลี่ยนแปลงของเกมลูกหนัง หลังกลับมาฟาดแข้งกันอีกครั้ง

บุนเดสลีกาได้กลายเป็นลีกใหญ่ลีกแรกที่กลับมาแข่งอีกครั้งหลังได้รับผลกระทบของโควิด-19 แต่การกลับมานั้นนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของวงการฟุตบอลครั้งใหญ่

10. ผู้เล่นทุกคนต้องสวมหน้ากากขณะเสมอขณะวอร์มอัพ

At all times prior to the warm-up beginning, players wore protective masks - with many clubs producing branded face masks for their squad.

แม้ว่าขณะแข่งขันจริงๆ หรือตอนที่เสียงนกหวีดเริ่มเกมดังขึ้นผู้เล่นทุกคนได้รับการอนุญาติให้ถอดหน้ากากอนามัย แต่ขณะวอร์มอัพก่อนเริ่มเกมหรือช่วงตรวจสอบสนาม พวกเขาทุกคนจำเป็นต้องสวมหน้ากากเสมอ ทั้งนี้บางสโมสรได้มีการทำหน้ากากอนามัยเพื่อใช้สำหรับการนี้โดยเฉพาะ

9. มีการตรวจวัดไข้ก่อนก่อนเข้าสนามทุกครั้ง

While all matches are being played behind closed doors, the limited number of spectators who were allowed to enter - such as members of the media - had their temperatures checked prior to entering the stadium.

ขณะที่แมทซ์กำลังแข่งขันกันอยู่นั้น แม้จะมีการจำกัดการสิทธิ์การเข้าแต่ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีการเข้าออกของเจ้าหน้าที่อยู่แล้ว โดยการจะเข้ามาในสนามทุกครั้งจะต้องมีการตรวจวัดไข้และฆ่าเชื้อทุกครั้ง (อารมณ์เหมือนเข้าร้านสะดวกซื้อบ้านเรา) ซึ่งบุคคลที่ได้รับสิทธิ์และเข้าออกบ่อยครั้งส่วนมากจะเป็นบรรดาผู้สื่อข่าว

8. ผู้ช่วยผู้ตัดสินทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัยเสมอ

The fourth official and other members of staff on the touchline wore masks throughout the game.

แม้ว่าผู้ช่วยในสนามรวมไปถึงไลน์แมนจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องสวมหน้ากากขณะทำหน้าที่ระหว่างเกมเช่นเดียวกับนักเตะทุกคน แต่บรรดาผู้ช่วยผู้ตัดสินที่อยู่ข้างสนามทุกคนจะต้องสวมหน้ากากอยู่เสมอ

7. ไม่มีการจับมือเด็ดขาด

Elbow bumps are the new norm, as players adapt to the new measures in place.

เป็นภาพที่คุ้นตากันไปแล้วกับการจับมือระหว่างผู้เล่นในยามต้องการให้เกียรติกัน หรือแม้แต่การเปลี่ยนตัวระหว่างเกม มันมีมานานจนกลายเป็นธรรมเนียมที่อยู่คู่กับวงการลูกหนังไปแล้ว แต่ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ การเว้นระยะห่างทางสังคมเป็นสิ่งจำเป็น การจับมือกันจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ

เนื่องจากการแตะมือกันระหว่างเปลี่ยนตัวเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ ทำให้มีผู้เล่นบางคนเปลี่ยนมาเป็นใช้เตะกันเบาๆ แทน ซึ่งก็เป็นภาพที่น่ารักไม่เบาเลยทีเดียว

6. การสัมภาษณ์ในสนามยังต้องสวมหน้ากากและเว้นระยะห่าง

Leipzig's German head coach Julian Nagelsmann wears a face mask as he gives an interview to the German media.

แน่นอนการแข่งขันและทุกกิจกรรมภายในสนามจะต้องอยู่ภายใต้มาตรการการควบคุมโรคและทุกคนต้องเคารพกฏนี้เพื่อให้การแข่งขันดำเนินไปอย่างราบรื่น ซึ่งการสัมภาษณ์ของบรรดาสื่อก็ต้องมีการสวมหน้ากากและเว้นระยะห่าง จากภาพการให้สัมภาษณ์ของกุนซือไลป์ซิก แม้แต่ไมโครโฟนยังต้องหุ้มพลาสติกหนึ่งชั้นและยังต้องใช้ไม้ยื่นไปสัมภาษณ์เพื่อเว้นระยะห่าง

5. อุปกรณ์การแข่งขันทุกชิ้นต้องปลอดภัย

Even the match balls were disinfected prior to kick-off, as the Bundesliga look to take every precaution necessary.

อย่างที่ทราบเชื้อร้ายนี้ไม่ได้แพร่เฉพาะจากคนสู่คนเท่านั้น มันยังปนเปื้อนผ่านวัตถุได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นอุปกรณ์ทุกอย่างในสนาม รวมถึงลูกบอลที่ใช้ในการแข่งขันจะต้องได้รับการฆ่าเชื้อก่อนนำมาใช้เสมอ

4. ห้ามไม่ให้แฟนบอลเข้ามาชมการแข่งขัน

Polibek spoluhráči, urážka hvězdy. Německo zažilo zvláštní ...

สำหรับข้อนี้เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าหากมีการชุมนุมกันของคนจำนวนมากมันอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่ระบาดไวรัส แฟนบอลทุกคนจึงหมดสิทธิ์เข้ามาชมเกมแบบสดๆ การไม่มีแฟนบอลเข้ามาเชียร์ในสนามนั้นส่งผลกระทบต่อวงการฟุตบอลอย่างมาก ทั้งในแง่ของรายได้และวัฒนธรรม ซึ่งตามการวิเคราะห์ของบรรดานักวิชาการแล้วเราอาจต้องนั่งชมเกมอยู่บ้านกันนานถึงปี 2021 เลยทีเดียว

3. ผู้เล่นสำรองต้องรักษาระยะห่าง

Players on the bench were told to socially distance, and were sat two metres apart during the game.

หากเราจะเข้าไปนั่งร้านอาหารสักร้านหนึ่งในท่ามกลางสถาการณ์ปัจจุบัน เราก็ต้องเว้นระยะห่างกับลูกค้าคนอื่นๆ เช่นเดียวกับผู้เล่นตัวสำรองที่ต้องนั่งรอเตรียมลงสนามพวกเขาก็ต้องเว้นระยะห่างกัน 2 เมตร และต้องไม่ลืมที่จะสวมหน้ากากอนามัยอยู่เสมอ

2. มีการนำบันไดจากสนามบินมาใช้

Steps taken from a local airport lead from the pitch to the stands, in case there is not enough space for players on the bench.

อันนี้สืบเนื่องมาจากการที่ผู้เล่นสำรองต้องเว้นระยะห่าง ทำให้ม้านั่งสำรองในสนามไม่อาจรองรับได้และผู้เล่นสำรองบางส่วนต้องย้ายขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์ เพื่อความสะดวกจึงได้มีการนำบันไดจากสนามบินมาใช้

1. สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยน

Bundesliga: Bayern Munich return with victory in Berlin | Sports ...

แม้สนามที่เคยคึกคักจะเงียบลงเพราะไร้แฟนบอล แม้จะต้องแข่งภายใต้ข้อบังคับต่างๆ มากมาย แต่สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนก็คือบรรดาผู้เล่นที่ยังทุ่มเทให้กับเกม ทำให้กีฬานี้ยังคงเป็นกีฬาที่ดุเดือดและสนุกที่สุดสำหรับหลายๆ คน

ทิ้งท้ายกันด้วยคำคมๆ จาก เจอร์เก้น คล็อปป์ “เราทุกคนเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่ยังไม่มีแฟนบอล และเราก็รักมันไม่ใช่เพราะบรรยากาศในสนาม”

“ในขณะเดียวกันเราคุ้นเคยกับมันและรู้ว่านั่นคือฟุตบอลที่แท้จริง แต่ตอนนี้เราไม่สามารถเล่นแบบนั้นได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ใช่เกมที่ยอดเยี่ยม”

12 แข้งผู้โชคดีเคยเป็นเพื่อนร่วมทีมทั้งโรนัลโด้-เมสซี่

หากพูดถึงนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในยุคนี้คงหนีไม่พ้นยอดดาวเตะระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่

สองคนนี้ไม่ว่าแข้งคนไหนต่างก็อยากจะลงเล่นเคียงข้างกับพวกเขาด้วยกันทั้งนั้น แน่นอนว่าใครก็ตามที่ได้มีโอกาสเป็นเพื่อนร่วมทีมกับพวกเขา ย่อมถือเป็นเรื่องที่โชคดีในชีวิต แต่สำหรับคนที่เคยลงเล่นร่วมกับ โรนัลโด้ และ เมสซี่ พวกเขาจะโชคดีแค่ไหนกัน และนี่คือ 12 นักเตะที่เคยเล่นกับทั้งสองยอดดาวเตะเหนือมนุษย์

เฟร์นานโด กาโก้

เคยเล่นร่วมกับโรนัลโด้ 3 ปีที่เรอัล มาดริด และเคยเล่นร่วมกับเมสซี่ ในนามทีมชาติอาร์เจนติน่า

สังกัดปัจจุบัน : เวเลซ ซาร์สฟิลด์ (อาร์เจนติน่า)

กาเบรียล ไฮน์เซ่

เคยเป็นเพื่อนร่วมทีมกับโรนัลโด้ ที่แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นเวลาสามฤดูกาล ส่วนเมสซี่เคยร่วมงานในนามขุนพลทัพฟ้าขาว

สถานะปัจจุบัน : เลิกเล่นแล้ว

เคราร์ด ปีเก้

ก้าวขึ้นมาเป็นเพื่อนร่วมทีม “CR7” ที่แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดุกาล 2007-08 ก่อนจะย้ายไปเล่นกับ “LM10” ถึงปัจจุบัน

สังกัดปัจจุบัน : บาร์เซโลน่า

อังเคล ดิ มาเรีย

กับโรนัลโด้ เคยร่วมกันคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2014 ส่วนกับเมสซี่ ประสานงานกันตั้งแต่สมัยชุดคว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2008 จนถึงทีมชาติชุดใหญ่ ซึ่งทั้งคู่ติดธงเกิน 100 นัดไปเรียบร้อยแล้ว

สังกัดปัจจุบัน : ปารีส แซงต์-แชร์กแมง

คาร์ลอส เตเวซ

ประสบความสำเร็จกับดาวเตะชาวโปรตุกีสในสีเสื้อปีศาจแเดง ด้วยการคว้าถ้วยยูซีแอล 1 สมัย, พรีเมียร์ลีก 2 สมัย รวมถึงแชมป์สโมสรโลก อีก 1 สมัย กับเมสซี่ เตเวซเคยช่วยกันพาทัพฟ้า-ขาว เข้าชิง โคปา อเมริกา สองครั้งแต่จบลงด้วยการเป็นรองแชมป์ทั้งสองครั้ง

สังกัดปัจจุบัน : โบคา จูเนียร์ส

เปาโล ดีบาล่า

การติดธงครั้งแรกตั้งแต่ปี 2015 ทำให้ ดีบาล่า ได้มีโอกาสลงเล่นกับเจ้าของบัลลงดอร์ 6 สมัยในนามทีมชาติ ก่อนจะได้เล่นกับโรนัลโด้ ในสีเสื้อม้าลาย ในปี 2018

สังกัดปัจจุบัน : ยูเวนตุส

กอนซาโล่ อิกวาอิน

เคยล่าตาข่ายกับเมสซี่ในนามทีมชาติอาร์เจนติน่า ซึ่งปัจจุบันเขาเลิกเล่นทีมชาติไปแล้ว ส่วนโรนัลโด้ เขามีโอกาสได้เป็นเพื่อนร่วมสโมสรทั้งที่เรอัล มาดริด และ ยูเว่

สังกัดปัจจุบัน : ยูเวนตุส

เฮนริค ลาร์สสัน

ช่วงที่ ลาร์สสัน ค้าแข้งกับบาร์ซ่า ระหว่างปี 2004-2006 ณ เวลานั้น เมสซี่ กำลังก้าวขึ้นชุดใหญ่ในฐานะดาวรุ่งน่าจับตามอง ก่อนที่อดีตดาวยิงทีมชาติสวีเดนจะย้ายมาเล่นกับยูไนเต็ด แบบยืมตัวในปี 2007 แน่นอนว่าการย้ายครั้งนี้ทำให้เขาได้ลงเล่นกับเจ้าของบัลลงดอร์ 5 สมัย

สถานะปัจจุบัน : เลิกเล่นแล้ว

เนลสัน เซเมโด้

ย้ายขึ้นยานแม่ตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งทำให้เขามีโอกาสลงเล่นกับเมสซี่ตั้งแต่นั้นมา ส่วนกับโรนัลโด้ เขาคือเพื่อนร่วมทีมชาติโปรตุเกส

สังกัดปัจจุบัน : บาร์เซโลน่า

เอเซเกล การาย

เคยเล่นร่วมกับโรนัลโด้ 2 ซีซั่นในสีเสื้อราชันชุดขาว และอยู่ในชุดรองแขมป์ฟุตบอลโลก 2014 ร่วมกับเมสซี่

สังกัดปัจจุบัน : บาเลนเซีย

เดโก้

ตำนานมิดฟิลด์ทีมชาติโปรตุเกสเป็นหนึ่งในแข้งพี่เลี้ยงเมสซี่ตอนที่ขึ้นชุดใหญ่ใหม่ ๆ ขณะที่โรนัลโด้ แน่นอนว่าเขาปั้นเกมให้ปีกรุ่นน้องในทัพฝอยทอง ชุดรองแชมป์ยูโร 2004 รวมถึงอันดับสี่ฟุตบอลโลก 2006

สถานะปัจจุบัน : เลิกเล่นแล้ว

อังเดร โกเมส

เป็นเพื่อนร่วมทีมชาติกับโรนัลโด้ และเคยลงเล่นกับเมสซี่ที่บาร์ซ่า 2 ปี ก่อนย้ายซบเอฟเวอร์ตัน

สังกัดปัจจุบัน : เอฟเวอร์ตัน

สนับสนุนโดย : ข่าวฟุตบอล

โหดแน่ ริโอ เร้าแมนยูฯ คว้า 3 สตาร์ดังพาทีมกระฉูด

ริโอ เฟอร์ดินานด์ ตำนานกองหลังแมนเชสเตอร์ ยุไนเต็ด แนะนำปิศาจแดงควรคว้าตัวสตาร์ดังทั้ง 3 ราย มาเสริมความโหด

วันที่ 19 พ.ค. 63 ริโอ เฟอร์ดินานด์ อดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษและ แมนเชสเตอร์ ยุไนเต็ด แนะนำอดีตต้นสังกัดให้คว้าตัว จาดอน ซานโช ปีกของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, ซาอูล นิเกซ กองกลางของแอตเลติดก มาดริด และ คาลิดู คูลิบาลี กองหลังของนาโปลี มาสู่ถิ่นโอลด์ แทรฟเฟิร์ด ในช่วงซัมเมอร์นี้

ริโอ กล่าวว่า “ผมขอเลือก ซานโช, คูลิบาลี และ นิเกซ แล้วกัน ผมคิดว่า แฮร์รี เคน ก็โอเคนะ แต่ถ้าเป็นนักเตะตัวรุกผมขอจิ้มเป็น ซานโช เพราะเขาคือนักเตะที่เพิ่มจินตนาการให้กับทีม เติมความจัดจ้านที่พวกเขาขาดหายไปในเวลานี้”

สำหรับ ซานโช นั้นปิศาจแดงถูกยกให้เป้นตัวเต็งที่จะได้มาร่วมทีม แต่พวกเขาต้องจ่ายค่าตัว 100 ล้านปอนด์ตามที่ดอร์ทมุนด์ตั้งเอาไว้เท่านั้น ส่วนในรายของ นิเกซ มีข่าวว่าสามารถตกลงค่าตัวได้แล้วเหลือเพียงเจรจาเงื่อนไขส่วนตัวกับนักเตะ ขณะที่ คูลิบาลี นั้นพวกเขาต้องแย่งตัวแข่งกับ ลิเวอร์พูล โดยมีค่าตัวประมาณ 90 ล้านปอนด์

ลิเวอร์พูล ทำช็อก ทาบคว้าสตาร์แมนฯซิตี้เสริมดุ

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ตกเป็นข่าว ทำการทาบทามเรื่งคว้าตัวดาวเตะของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มาเสริมความโหดหลังจบฤดูกาลนี้

วันที่ 19 พ.ค. 63  คริสเตียน ฟอล์ค ผู้สื่อข่าวของบิลด์ สื่อดังในเยอรมนี แฉ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤา ติดต่อไปหา เลรอย ซาเน ปีกทีมชาติเยอรมนีของ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ว่าต้องการย้ายมาสู่ถิ่นแอนฟิลด์ในช่วงซัมเมอร์นี้หรือไม่

ทั้งนี้ ซาเน เหลือสัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกแค่ 1 ปี และมีกระแสข่าวอย่างหนักว่าอาจย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ โดยตกเป็นเป้าหมายเสริมทัพของ บาเยิร์น มิวนิ ยักษ์ใหญ่าแห่งศึกบุนเดสลีกา เยอรมนี อย่างไรก็ตามรายงานจาก บิลด์ ระบุว่า ลิเวอร์พูล กลายเป็นทีมล่าสุดที่สนใจ ซาเน แต่ตัวนักเตะรู้ดีว่าคงเป็นเรื่องยากเนื่องจากหงส์แดงคือคู่แข่งโดยตรงของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และตัวเขาก็อยากย้ายไปบาเยิร์น มิวนิก เท่านั้น

สำหรับ ซาเน ย้ายจากทีม ชาลเก 04 มาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อปี 2016 ด้วยค่าตัว 37 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,448 ล้านบาท) ซัดไปแล้ว 39 ประตู จากการลงเล่น 134 นัดรวมทุกรายการให้กับเรือใบสีฟ้า โดยทางแมนฯ ซืตี้ พร้อมพิจารณาปล่อยออกจากทีมแต่มีข้อแม้ว่าต้องได้ค่าตัว 35 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,369 ล้านบาท) เท่านั้น โดยปัจจุบัน ซาเน อยู่ในระหว่างฟื้นตัวจากกอาการบาดเจ็บ

สนับสนุน : mblogi

ลิเวอร์พูล เปิดเมลวู้ดให้นักเตะกลับมาซ้อม

พร้อมแล้ว!ลิเวอร์พูลเปิดเมลวู้ดให้นักเตะกลับมาซ้อม

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ต้องการให้นักเตะแต่ละคนอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด โดยล่าสุดเปิด เมลวู้ด ให้ผู้เล่นกลับมาซ้อมแล้ว แต่มีมาตรการเข้มงวดที่จะต้องปฏิบัติตาม

ลิเวอร์พูล สโมสรจ่าฝูงในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้ทำการเปิดสนามซ้อมเมลวู้ด เพื่อให้บรรดานักเตะของสโมสรกลับมาฝึกซ้อมแล้ว ตามรายงานจาก เดอะ เทเลกราฟ สื่อดังเมืองผู้ดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

สำหรับมาตรการในการฝึกซ้อมนั้น ยังคงเน้นเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคม โดยในแต่ละครั้ง จับกลุ่มซ้อมเต็มที่ได้ไม่เกิน 3 คน และจำกัดเวลาในการวิ่ง 1 ชั่วโมง โดยที่จะไม่มีสต๊าฟฟ์โค้ชคอยจับตาดูอยู่ข้างสนาม แต่จะมีทีมแพทย์เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ       สำหรับตอนนี้ที่ประเทศอังกฤษ ยังคงอยู่ในช่วงล็อกดาวน์ประเทศ แต่คาดว่า น่าจะมีการผ่อนคลายลงในบางเรื่อง ขณะที่ทาง พรีเมียร์ลีก ก็เตรียมประกาศให้แต่ละสโมสรเริ่มซ้อมเต็มที่ได้ในวันที่ 18 พฤษภาคมนี้ โดยหวังที่จะได้รีสตาร์ทฤดูกาลช่วงกลางเดือนมิถุนายน หลังจากที่การแข่งขันถูกระงับยาวมาตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “โควิด-19”

พร้อมแล้ว!ลิเวอร์พูลเปิดเมลวู้ดให้นักเตะกลับมาซ้อม

3สิ่งที่แมนยูได้เปรียบลิเวอร์พูลล่าลายเซ็นแวร์เนอร์

3สิ่งที่แมนยูได้เปรียบลิเวอร์พูลล่าลายเซ็นแวร์เนอร์

เปิด 3 สิ่งที่อาจทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เปรียบ ลิเวอร์พูล ในการไล่ล่า ติโม แวร์เนอร์ ดาวยิงทีมชาติเยอรมัน

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกเป็นข่าวว่า พร้อมที่จะปาดหน้า ลิเวอร์พูล คู่ปรับร่วมศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ คว้าตัว ติโม แวร์เนอร์ กองหน้าคนเก่งของ แอร์เบ ไลป์ซิก มาเข้าถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หลังติดต่อไปหาเอเยนต์นักเตะแล้ว

แวร์เนอร์ เป็นหนึ่งในกองหน้าชั้นยอดของศึก บุนเดสลีกา ตลอดช่วงหลายฤดูกาลที่ผ่านมา หลังทำประตูได้เป็นกอบเป็นกำ โดยซีซั่นนี้ทำไปแล้ว 27 ประตู จากการลงเล่น 36 นัดในทุกรายการ     หัวหอกทีมชาติเยอรมัน วัย 24 ปี มีข่าวกับ ลิเวอร์พูล มาสักระยะแล้ว อย่างไรก็ตาม นี่คือ 3 สิ่งที่อาจทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฝ่ายได้ลายเซ็นนักเตะมาครอบครอง

1. ค่าเหนื่อยก้อนโต

3สิ่งที่แมนยูได้เปรียบลิเวอร์พูลล่าลายเซ็นแวร์เนอร์

ในเวลานี้นักเตะที่รับค่าเหนื่อยมากสุดของ ลิเวอร์พูล คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ปีกทีมชาติอียิปต์ ที่ได้สัปดาห์ละ 200,000 ปอนด์ (ประมาณ 8 ล้านบาท)

ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด คนที่รับมากสุดมากสุดในเวลานี้คือ ดาบิด เด เคอา นายทวารทีมชาติสเปน ที่ได้สัปดาห์ละ 375,000 ปอนด์ (ประมาณ 15 ล้านบาท) 

แน่นอนว่า “ปีศาจแดง” พร้อมทุ่มค่าเหนื่อยให้ แวร์เนอร์ มากกว่า ลิเวอร์พูล และเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ไม่เข้าใครออกใคร ทำให้นักเตะคงต้องเอาไปพิจารณาด้วยแน่

2. เอาตัวจริงไปเลย 

3สิ่งที่แมนยูได้เปรียบลิเวอร์พูลล่าลายเซ็นแวร์เนอร์

หากย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล ยังไม่รู้ว่า แวร์เนอร์ จะเบียดเข้าไปแย่งตำแหน่งตัวจริง และได้ลงสนามเป็นประจำหรือไม่ เพราะมี 3 ประสานแนวรุกที่สุดยอดทั้ง โม ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ อยู่แล้ว

ต่างกับถ้าย้ายไปเล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เชื่อว่าจะได้ลงสนามเป็นประจำอย่างแน่นอน หลัง โอเดียน อิกาโล่ จะหมดสัญญายืมตัว และอาจกลับลีกจีนหลังจบฤดูกาลนี้

ขณะที่คู่แข่งคนอื่นๆ ในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าดูเหมือนมีเพียง อองโตนี่ มาร์กซิยาล กับ เมสัน กรีนวู้ด เพราะ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ชอบขยับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไปเล่นริมเส้นมากกว่า ทำให้ดูแล้ว แวร์เนอร์ น่าจะแย่งตัวจริงมาครองได้ไม่ยาก 

3. ได้เล่นตำแหน่งถนัด

3สิ่งที่แมนยูได้เปรียบลิเวอร์พูลล่าลายเซ็นแวร์เนอร์

หาก แวร์เนอร์ ย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล มีโอกาสสูงที่จะไม่ได้เล่นในตำแหน่งดาวยิงหมายเลข 9 โดยอาจต้องฉีกไปเล่นริมเส้น และมีส่วนกับการเล่นเกมรับมากขึ้น

ส่วนกรณีย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้ทำหน้าที่ยืนหัวหอกตัวเป้าเต็มตัว เพราะทั้งฝั่งซ้ายและขวาอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด กับ แดเนียล เจมส์ พร้อมช่วยถอยไปทำหน้าที่เวลาเล่นเกมรับให้อยู่แล้ว

แหล่งที่มา : ข่าวกีฬา

สปิริต กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

​ความเป็นดาร์บี้ แมตช์, คู่อริ (Rivalry) ในเกมฟุตบอล ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ต่างฝ่ายไม่มีใครยอมใคร

​เลสเตอร์ ซิตี้ กับ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ก็เป็นอีกหนึ่งดาร์บี้แมตช์ของสองทีมที่ตั้งอยู่ในแถบอีสต์ มิดแลนด์ ของเกาะอังกฤษ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อที่ว่า อีสต์ มิดแลนด์ ดาร์บี้ (East Midland derby)

อย่างไรก็ตาม ถึงต่อให้ความเป็นคู่แข่งที่เดือดแค้นมากแค่ไหน ในอดีตเคยปรปักษ์กันเพียงใด แต่ก็ไม่ควรมองข้ามเส้นคำว่า “น้ำใจนักกีฬา” ไปได้    ​ย้อนไปเมื่อเกือบๆ 13 ปีก่อน ในศึกคาลิ่ง คัพ รอบ 2 เมื่อวันที่ 18 กันยายน ปี 2007 ที่สนาม ซิตี้ กราวด์ หลังจากผู้ตัดสินเป่านกหวีดเริ่มการแข่งขัน น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ มาได้ประตูที่เรียกว่าเป็น ลูกที่ได้มาแบบฟรีๆ (Free Goal) เมื่อผู้เล่น เลสเตอร์ ทั้ง 11 คนปล่อยให้ พอล สมิธ ผู้รักษาประตูของ ฟอเรสต์ พาบอลเข้าไปยิงประตูโดยไม่มีใครเข้าไปแย่ง ซึ่งก็ทำให้ “ทีมเจ้าป่า” ทำสกอร์ขึ้นนำ 1-0

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

​ถึงตรงนี้ หลายคนสงสัยกันใช่ไหมว่า ทำไมผู้เล่นจิ้งจอกสีน้ำเงิน ถึงปล่อยให้คู่แข่งทำแบบนั้น ทั้งที่ตัวเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่เริ่มเกม

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

​เรื่องมีอยู่ว่า ที่จริงเกมคู่นี้ทำการแข่งขันกันไปแล้วตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม และก็ควรได้ผู้ชนะตั้งแต่วันนั้น ทว่าในแมตช์ดังกล่าว ขณะที่ ฟอเรสต์ เป็นฝ่ายขึ้นนำอยู่ 1-0 เมื่อจบครึ่งเวลาแรก ไคลฟ์ คล้าร์ก ผู้เล่นของ เลสเตอร์ เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันในห้องแต่งตัว ส่งผลให้เกมต้องถูกยกเลิกในทันที และตัว คล้าร์ก เองก็ถูกส่งเข้ารักษาที่ห้องฉุกเฉิน ที่ศูนย์การแพทย์ ในเมืองน็อตติงแฮม ซึ่งภายหลังเจ้าตัวก็มีอาการดีขึ้น

​เมื่อเกมถูกยกเลิกก็ต้องหาวันมาแข่งใหม่ สกอร์การแข่งขันก็ต้องกลับมาเริ่มใหม่เช่นกัน ซึ่งแน่นอนล่ะ มันก็ไม่เป็นธรรมต่อ ฟอเรสต์ เลย ในใจคงคิดว่าจะให้มาเริ่มต้นใหม่ได้ยังไง ในเมื่ออุตส่าห์ทำประตูขึ้นนำไปแล้วแท้ๆ

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ผู้เล่น เลสเตอร์ รวมถึงสตาฟฟ์ คุยกันก่อนเกมที่จะแข่งใหม่เริ่มขึ้น พวกเขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะปล่อยให้ ฟอเรสต์ ทำประตูขึ้นนำไปก่อน เพื่อให้สกอร์เป็นเท่าเดิมเหมือนตอนช่วงระหว่างเกมที่ถูกยกเลิกไป ซึ่งสุดท้ายแมตช์นี้ จบลงด้วยชัยชนะของ เลสเตอร์ 3-2 ตีตั๋วผ่านเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จ

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

​เสียงชื่นชมต่อทีมสุนัขจิ้งจอกมีอย่างล้นหลาม ต่างเชิดชูว่าพวกเขามีสุดยอดสปิริต  ลอร์ด มอว์ฮินนี่ย์ ประธานของ ฟุตบอล ลีก ก็กล่าวชม เลสเตอร์ ที่แสดงความมีน้ำใจนักกีฬาในครั้งนี้เช่นกัน

​ส่วน จอห์น นาเกิ้ล ประธานฝ่ายการสื่อสารของ ฟุตบอล ลีก เสริมว่า “การกระทำของ เลสเตอร์ เป็นการแสดงให้เห็นถึงฟุตบอลได้ดีที่สุด ลอร์ด มอว์ฮินนี่ย์ ยังติดต่อไปหา น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ หลังจบเกมนัดแรกเพื่อชื่นชมพวกเขาด้วย ที่แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจนักกีฬาที่ดีจากการที่ยอมยกเลิกเกมการแข่งขัน ทัศนคติด้านกีฬาที่ทั้ง น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ และ เลสเตอร์ ซิตี้ แสดงให้เห็นในทั้ง 2 เกมนี้มันคือการสะท้อนให้เห็นถึงเกมฟุตบอลได้เป็นอย่างดี”

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

​ฝั่งทีมที่ได้รับการยกย่องก็ออกมาพูดเช่นกัน มิลาน มันดาริช ประธานของเดอะ ฟ็อกซ์ ในตอนนั้น เผยหลังจบเกมว่าตนภูมิใจมากทีมพวกผู้เล่นตัดสินใจแบบนี้ ซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงสปิริตน้ำใจอันดีเยี่ยม “ผมภูมิใจในตัวผู้เล่นทุกคน และเราก็มีความสุขที่ได้ทำแบบนี้ ฟุตบอลจะไม่ทำความเจ็บช้ำให้ใคร”

“ความคิดนี้เกิดจากคนทั้งสโมสร เราทั้งหมดก็อยากจะชนะ แต่เรื่องศีลธรรมและความยุติธรรม มันก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน”

“มันเป็นสถานการณ์ที่ยากเหมือนกันนะ แต่ถูกต้องแล้วล่ะที่ทำลงไป”

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

​ด้าน แกรี่ เม็กสัน กุนซือเลสเตอร์ ก็กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าทางทีมได้คุยกับคู่แข่งก่อนแล้ว “ผมได้พูดคุยกับ ผู้จัดการทีมฟอเรสต์ โคลิน คาลเดอร์วู้ด ก่อนแข่ง 20 นาทีแล้ว เพื่ออธิบายเรื่องที่อยู่ในใจ แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมาจนกระทั่งก่อนเกมจะเริ่มขึ้น”

​ส่วนกุนซือฟอเรสต์ เผยเพิ่มเติมว่า “เลสเตอร์ รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่สมควรทำ และผมต้องยอมรับว่าตอนแรกมันทำให้เราแปลกใจนิดหน่อย แต่มันก็เป็นการกระทำที่น่านับถือ และผมอยากคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ดีต่อวงการฟุตบอลโดยรวม ผมคิดว่าแฟนบอลเข้าใจดีว่ามันเป็นการทำด้วยสปิริตที่ดี” ​เวลาผ่านไปเป็นสิบปีเรื่องราวสปิริตก็ยังฝังอยู่ในความเป็น เดอะ ฟ็อกซ์

 ​เหตุการณ์ที่จะกล่าวต่อไปนี้ เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน จากยุคเจ้าของชาวเซอร์เบีย มาจนถึงยุคเจ้าของคนไทย เรื่องความมีน้ำใจในสโมสร เลสเตอร์ ก็ยังคงอยู่ไม่มีเปลี่ยน

วันที่ 14 ธันวาคม ปี 2019 เลสเตอร์ เปิดบ้านรับมือ นอริช ทีมบ๊วยของตาราง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือของทีม ให้โอกาส เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ลงเป็นตัวจริงต่อเนื่องหลังโชว์ฟอร์ม ยิง 2 แอสซิสต์ 2 จาก 2 เกมหลังสุดที่ลงสนาม

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

​ในนาทีที่ 26 ที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม เจ้าถิ่นพลาดท่าตกเป็นฝ่ายตามหลัง 0-1 ถัดจากนั้นก็หมายมั่นจะทวงประตูคืน จนเกิดจังหวะดราม่าขึ้นเมื่อ  เอมิลิเอโน่ บวนเดีย มิดฟิลด์ฝั่งทีมเยือนได้รับบาดเจ็บ และขณะนั้นบอลเป็นฝ่ายการครอบครองของ นอริช แต่พวกเขาเลือกเตะบอลทิ้งออกนอกสนามเพื่อให้ทีมแพทย์เข้ามาดูอาการ และตามมารยาทแล้วนั้น ผู้เล่น เลสเตอร์ ที่จะนำบอลมาทุ่มก็ควรส่งคืนให้แก่ นอริช ไปเล่นต่อ ทว่า อิเฮียนาโช่ กองหน้าเลสเตอร์ กลับทำตรงกันข้าม เขาเลือกเลี้ยงบอลตะบึงเข้าไปในกรอบเขตโทษเพื่อจะยิงประตู แต่สุดท้ายผู้เล่นทีมเยือนต้องกรูเข้าไปอัด หมายเอาเรื่อง แข้งเลสเตอร์รายนี้ โทษฐานไม่มีน้ำใจนักกีฬา

เข้าใจล่ะว่า เจตนาของ อิเฮียนาโช่ คืออยากทวงประตูคืนให้กับทีม ทั้งที่จะควรจะส่งบอลคืนให้แก่คู่แข่ง แต่เมื่อเขาตัดสินใจแบบนั้นไปแล้ว ก็ต้องยอมรับกับสิ่งที่กำลังจะตามมา

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

ไม่ถึง 10 นาทีหลังจากช็อตปัญหานั้น ร็อดเจอร์ส ตัดสินใจเปลี่ยนตัว อิเฮียนาโช่ ออกจากเกมเนื่องจากรับไม่ได้กับสิ่งที่ลูกทีมคนนี้ทำลงไป

​หลังจบเกม บี-ร็อด อธิบายถึงเรื่องการเปลี่ยนตัวนี้ ว่าเป็นสิ่งที่เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน “เขาอ่านสถานการณ์พลาดไปจริงๆ บอลมันควรจะถูกส่งคืนไป ยังดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น”

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

“ส่วนใหญ่แล้วบอลมันจะถูกส่งคืนไป แบบนี้มันเลยทำให้เกิดเหตุการณ์ต่อเนื่องที่อาจจะเป็นใบแดงได้ ซึ่งมันเป็นอะไรที่น่าขัดใจเหมือนกัน”

“พวกเขาไม่ค่อยประทับใจที่ อิเฮียนาโช่ พยายามพาบอลเข้าไปทำประตู เจ้าเคลส์(หมายถึง อิเฮียนาโช่) บอกตามตรงเลยว่าผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาคิดอะไรอยู่”

​”จริง ๆ เขาเป็นเด็กที่ซื่อสัตย์ แล้วก็โดนเตะอย่างชัดเจน แต่ก็ถือว่าดีแล้วที่ทุกอย่างมันแก้ไขได้และไม่มีอะไรบานปลายเกิดขึ้น”

 ส่วนความเห็นของแฟนๆ เดอะ ฟ็อกซ์ ก็เป็นไปแนวทางเดียวกับ ร็อดเจอร์ส หลายคนรับไม่ได้กับการกระทำของ อิเฮียนาโช่ และเห็นด้วยที่ ผู้จัดการทีม เปลี่ยนตัวเขาออกไป เพราะสำคัญคือผู้เล่นต้องมี “น้ำใจนักกีฬา”

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

ผลของพฤติกรรมเพียงช่วงเวลาไม่กี่วินาที อิเฮียนาโช่ โดนดร็อป ไม่ได้ลงสนามสักนาทีเป็นเวลา 2 นัด ซึ่งหลังจากเขาใช้เวลาได้ทบทวนตัวเอง ร็อดเจอร์ส ก็ให้โอกาสกลับมาลงสนาม และสามารถทำประตูได้ในเกมบุกชนะ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 2-1

“สปิริต” กี่สิบปีก็ไม่มีวันจางหาย

​น้ำใจนักกีฬา อาจไม่ได้วัดผลออกมาเป็นรูปธรรม ไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้เอาชนะคู่แข่ง แต่มันคือสิ่งที่นักกีฬาหรือไม่ว่าใครก็ตามต้องมีอยู่ในจิตวิญญาณ

การชนะโดยปราศจากน้ำใจนักกีฬา อาจได้มาแค่ชื่อเสียงระยะสั้นๆ แต่การพ่ายแพ้โดยมีสปิริต จะติดตัวเราไปอีกนานแสนนาน ผู้แพ้อาจไม่มีสิทธิ์วอนขออะไร แต่น้ำใจนักกีฬา จะได้เสียงยอมรับจากรอบกาย ว่าคุณคือ นักกีฬาตัวจริง